ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (17 พ.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐได้กดดันให้นักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมทั้งรายงานผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มค้าปลีก ซึ่งรวมถึงบริษัทวอลมาร์ท
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,327.79 จุด ลดลง 54.34 จุด หรือ -0.16% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,163.29 จุด ลดลง 10.56 จุด หรือ -0.25% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,379.05 จุด ลดลง 50.93 จุด หรือ -0.38
นักวิเคราะห์จากบริษัทซีเอฟอาร์เอ รีเสิร์ช ในรัฐนิวยอร์กกล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดอ่อนแรงลงเมื่อคืนนี้มาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งความกังวลดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นเติบโต (growth stocks) เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มสินค้าผู้บริโภค ซึ่งหุ้นเหล่านี้มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐเกิดขึ้นหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ดีดตัวขึ้น 0.8% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2% และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี CPI พุ่งขึ้น 4.2% ซึ่งเป็นการดีดตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2551 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.6%
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยหุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 1.2% หุ้นแอปเปิล ลดลง 0.93% หุ้น Nvidia ปรับตัวลง 0.54% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 0.9%
หุ้น AT&T ซึ่งเป็นบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 2.7% ขณะที่หุ้น Discovery ดิ่งลง 5.05% หลังจาก AT&T แถลงเมื่อวานนี้ว่า ทางบริษัทบรรลุข้อตกลงในการควบรวมกิจการของ WarnerMedia เข้ากับ Discovery เพื่อแข่งขันกับบริษัทเน็ตฟลิกซ์ และดิสนีย์ อิงค์ ซึ่งเป็นคู่แข่งในตลาด
ทั้งนี้ หากข้อตกลงควบรวมกิจการ WarnerMedia เข้ากับ Discovery ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็จะทำให้มีการจัดตั้งบริษัทแห่งใหม่ขึ้น ซึ่งแยกจาก AT&T และจะมีมูลค่าตลาดมากถึง 1.50 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะสามารถแข่งขันกับบริษัทเน็ตฟลิกซ์ และดิสนีย์ อิงค์
หุ้นกลุ่มธุรกิจบล็อกเชนร่วงลง หลังจากนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเทสลา อิงค์ ส่งสัญญาณว่า เทสลาอาจเทขายบิตคอยน์ทั้งหมดที่ถืออยู่ ซึ่งส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ร่วงลงหลุดจากระดับ 45,000 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 เดือนเมื่อวานนี้ ทั้งนี้ หุ้น Riot Blockchain ร่วงลง 6.57% หุ้น Marathon Digital ร่วงลง 3.12% หุ้น Coinbase ดิ่งลง 3.92%
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.34% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ทะยานขึ้น 3.15% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 1.2% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 3.14%
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ วอลมาร์ท อิงค์, โฮม ดีโปท์ และเมซีส์ ในวันนี้ ซึ่งจะบ่งชี้ภาวะการใช้จ่ายของผู้บริโภค ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
รายงานระบุว่า ขณะนี้บริษัทมากกว่า 90% ในดัชนี S&P 500 ได้เสร็จสิ้นการรายงานผลประกอบการในไตรมาส 1 แล้ว โดยมีจำนวน 86% ที่รายงานตัวเลขกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่สูงเกินคาด ซึ่งเป็นตัวเลขสูงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ที่ FactSet เริ่มรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในปี 2551
นอกจากนี้ ตลาดยังจับตารายงานการประชุมนโยบายการเงินของเฟดประจำวันที่ 27-28 เม.ย.ที่จะมีการเผยแพร่ในวันพุธนี้ตามเวลาสหรัฐ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาด
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก รายงานว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ลดลง 2 จุด สู่ระดับ 24.3 ในเดือนพ.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 25.0 อย่างไรก็ดี ดัชนียังคงอยู่เหนือระดับ 0 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวของคำสั่งซื้อใหม่
ขณะที่ผลการสำรวจของสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB) ของสหรัฐพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้าน (NAHB/Wells Fargo Housing Market Index) ทรงตัวที่ระดับ 83 ในเดือนพ.ค. โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และอัตราเงินกู้จำนองที่ระดับต่ำ แต่ถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้านที่เพิ่มสูงขึ้น