ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (27 พ.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นแอร์บัสของฝรั่งเศสที่พุ่งขึ้น หลังบริษัทปรับเพิ่มเป้าหมายการผลิตเครื่องบิน แต่ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลง หลังหุ้นไบเออร์ร่วงลงรุนแรงที่สุดในรอบ 3 เดือนจากการตัดสินคดีฟ้องร้องในสหรัฐที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กำจัดวัชพืชของบริษัท
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 446.44 จุด เพิ่มขึ้น 1.22 จุด หรือ +0.27%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,435.71 จุด เพิ่มขึ้น 44.11 จุด หรือ +0.69%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,406.73 จุด ลดลง 43.99 จุด หรือ -0.28% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,019.67 จุด ลดลง 7.26 จุด หรือ -0.10%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นปิดที่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นแอร์บัสของฝรั่งเศสที่พุ่งขึ้น 2.9% หลังบริษัทเปิดเผยเป้าหมายที่จะเพิ่มการผลิตเครื่องบิน เนื่องจากอุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
แต่ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลง โดยถูกกดดันจากหุ้นไบเออร์ที่ร่วงลง 5% หลังผู้พิพากษาศาลสหรัฐปฏิเสธแผนการของบริษัทที่จะยุติการฟ้องร้องในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์กำจัดวัชพืชราวด์อัพและผลิตภัณฑ์อื่นๆของบริษัทที่มีส่วนผสมของสารไกลโฟเสต
ตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางต่างๆ ยืนยันที่จะดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป และนักลงทุนมีความวิตกน้อยลงเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนได้เข้าลงทุนในหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจมากขึ้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นเกือบ 2% และกลุ่มทรัพยากรพื้นฐาน พุ่งขึ้น 3%
การปรับตัวขึ้นของราคาโลหะจากความวิตกเกี่ยวกับผลผลิตทองแดงในชิลีนั้น ได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นด้วย
หุ้นดอยซ์แบงก์ เพิ่มขึ้น 1% หลังนายคริสเตียน ซิวอิง ซีอีโอเปิดเผยกับผู้ถือหุ้นว่า การปรับปรุงธุรกิจของธนาคารคืบหน้าเร็วกว่าแผนที่วางไว้ และธนาคารจะมีผลกำไรที่ยั่งยืนมากขึ้น