ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลแรงงานหลายรายการของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,600.38 จุด เพิ่มขึ้น 25.07 จุด หรือ +0.073% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,208.12 จุด เพิ่มขึ้น 6.08 จุด หรือ +0.14% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,756.33 จุด เพิ่มขึ้น 19.85 จุด หรือ +0.14%
หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 1.37% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ดีดขึ้น 0.83% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 1.24% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ทะยานขึ้น 4.33%
ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจหรือ Beige Book โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวในช่วงต้นเดือนเม.ย.จนถึงปลายเดือนพ.ค. โดยเศรษฐกิจในบางพื้นที่มีอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วขึ้น เนื่องจากประชาชนจำนวนมากได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 และเริ่มเข้าไปใช้บริการในร้านอาหาร โรงแรม และห้างค้าปลีก
นอกจากนี้ ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นปิดในแดนบวก โดยข้อมูลจากมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์ระบุว่า ชาวอเมริกันอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ได้รับวัคซีนครบสองโดสแล้วมีจำนวนเพิ่มขึ้นแตะระดับ 133.6 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 51.7% ของจำนวนประชากรทั้งหมด
ความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนในสหรัฐช่วยหนุนหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่นหุ้นกลุ่มสายการบินและกลุ่มเรือสำราญ โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 4.66% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดีดขึ้น 1.04% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป พุ่งขึ้น 3.85% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ บวก 0.73%
หุ้นแอมะซอน ดีดตัวขึ้น 0.48% หลังบริษัทประกาศจัดงาน Prime Day ประจำปีนี้ในวันที่ 21-22 มิ.ย. ซึ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมที่มักจัดขึ้นในเดือนก.ค. โดย Prime Day เป็นวันช้อปปิ้งระดับโลกที่แอมะซอนจัดขึ้น ซึ่งจะมีการลดราคาสินค้าอย่างมากสำหรับสมาชิก Prime จำนวนนับล้านรายการเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงกลางปี
หุ้น Zoom Video Communications ซึ่งเป็นผู้ให้บริการวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ปรับตัวลง 0.19% แม้บริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1 ที่ระดับ 1.32 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 99 เซนต์
หุ้นเทสลา ร่วงลง 3.01% หลังจากนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัทเทสลาเปิดเผยว่า เทสลาจำเป็นต้องปรับขึ้นราคารถยนต์ เนื่องจากปัญหาด้านซัพพลายเชนที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก โดยเฉพาะวัตถุดิบในการผลิต ขณะที่ข้อมูลบนเว็บไซต์ Electrek ระบุว่า ในเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เทสลาได้ปรับขึ้นราคารถยนต์รุ่น Model 3 และ Model Y ซึ่งเป็นการปรับขึ้นราคาครั้งที่ 5 ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน
นักลงทุนจับตาข้อมูลแรงงานของสหรัฐ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ค.จาก ADP และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ส่วนในวันพรุ่งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนพ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 671,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค. หลังจากที่การจ้างงานได้ชะลอตัวลงอย่างมากในเดือนเม.ย.
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนพ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนพ.ค. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนเม.ย.