ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (2 มิ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมัน WTI และน้ำมันดิบเบรนท์ดีดตัวขึ้นขานรับมติการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 451.34 จุด เพิ่มขึ้น 1.24 จุด หรือ +0.28%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,108.00 จุด เพิ่มขึ้น 27.54 จุด หรือ +0.39% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,521.52 จุด เพิ่มขึ้น 32.12 จุด หรือ +0.49% ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,602.71 จุด เพิ่มขึ้น 35.35 จุด หรือ +0.23%
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นนำตลาด หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นขานรับมติการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสที่จะปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอย่างค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งความเป็นไปได้ที่อิหร่านยังไม่ส่งน้ำมันออกสู่ตลาดในเร็วๆนี้ เนื่องจากความล่าช้าในการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐและอิหร่าน
ทั้งนี้ หุ้นโททาล พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นรอยัล ดัทช์ เชลล์ ปรับตัวขึ้น 0.7%
ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งระบุว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนพ.ค. ทะยานขึ้นสู่ระดับ 63.1 จากระดับ 62.9 ของเดือนเม.ย. ซึ่งดีกว่าตัวเลขคาดการณ์เบื้องต้นก่อนหน้านี้ที่ระดับ 62.8 และเป็นตัวเลขสูงที่สุดนับตั้งแต่ที่มาร์กิตเริ่มจัดทำดัชนีเมื่อเดือนมิ.ย. 2540 รายงานเศรษฐกิจของไอเอชเอส มาร์กิตประจำเดือนพ.ค.ระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคการผลิตยุโรปขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ ซึ่งส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจยุโรปอาจเติบโตได้รวดเร็วขึ้นมากยิ่งกว่านี้อีกหากสามารถแก้ปัญหาคอขวดฝั่งอุปทานได้ โดยปัญหาดังกล่าวได้ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของยุโรปที่มีการเปิดเผยล่าสุดนั้น สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในยูโรโซน ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าหน้าโรงงาน เพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 7.6% ในเดือนเม.ย. โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของดัชนี PPI เป็นสิ่งบ่งชี้แนวโน้มดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เนื่องจากผู้ผลิตมักผลักภาระการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าไปยังผู้บริโภค ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ตั้งเป้าเงินเฟ้อให้ "อยู่ใกล้ แต่ไม่เกินระดับ 2%"