ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 มิ.ย.) ที่ระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเดินทางและอสังหาริมทรัพย์ แต่การเปิดเผยข้อมูลผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนแอของเยอรมนี และความไม่แน่ใจเกี่ยวกับการที่อังกฤษจะยกเลิกข้อจำกัดในการควบคุมโรคโควิด-19 ในเดือนนี้นั้น ได้สกัดกั้นการปรับตัวขึ้นของตลาด
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 454.01 จุด เพิ่มขึ้น 0.45 จุด หรือ +0.1%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,551.01 จุด เพิ่มขึ้น 7.45 จุด หรือ +0.11% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,095.09 จุด เพิ่มขึ้น 17.87 จุด, +0.25% ส่วนดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,640.60 จุด ลดลง 36.55 จุด หรือ -0.23%
หุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการปรับตัวขึ้น 1.8% โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นอีซีเจ็ตซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำ หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนเป็น "ซื้อ"
แต่ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวลง หลังการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมร่วงลงเกินคาดในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์และปัญหาคอขวดด้านอุปทานอื่นๆ กำลังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยหุ้นกลุ่มรถยนต์ ร่วงลง 1.1% หลังทะยานขึ้น 6 วันติดต่อกัน
ตลาดหุ้นอังกฤษปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง และหุ้นบริติช โทแบคโค เพิ่มขึ้น 0.4% หลังบริษัทปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ประจำปี
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนวิตกกับรายงานจากหนังสือพิมพ์เดอะไทม์สว่า การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์รอบใหม่ของอังกฤษในวันที่ 21 มิ.ย.นี้อาจล่าช้าออกไป เนื่องจากยังคงมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจในสัปดาห์นี้ไปที่การประชุมนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐ โดยตลาดคาดว่า ECB จะยังคงดำเนินโครงการซื้อพันธบัตรฉุกเฉินที่อัตราปัจจุบันต่อไป เนื่องจากมีสัญญาณว่า เศรษฐกิจยูโรโซนยังไม่ฟื้นตัวได้เร็วตามคาด ขณะที่ข้อมูลเงินเฟ้อจะเป็นข้อมูลสำคัญก่อนการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า