ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 400 จุดเมื่อวันศุกร์ (9 ก.ค.) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกับดัชนี S&P500 และ Nasdaq โดยได้แรงหนุนจากการที่หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มอื่นๆ ที่ปรับตัวตามภาวะเศรษฐกิจนั้นดีดตัวขึ้น หลังจากร่วงลงในช่วงต้นสัปดาห์นี้ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตายังคงแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,870.16 จุด เพิ่มขึ้น 448.23 จุด หรือ +1.30%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,369.55 จุด เพิ่มขึ้น 48.73 จุด หรือ +1.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,701.92 จุด เพิ่มขึ้น 142.13 จุด หรือ +0.98%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ บวก 0.2% ขณะที่ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.4%
หุ้นกลุ่มการเงินในดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น 2.9% ซึ่งเป็นการบวกขึ้นเป็นเปอร์เซนต์วันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. ขณะที่ธนาคารขนาดใหญ่ รวมถึงเจพีมอร์แกน เชส จะเริ่มรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ในสัปดาห์หน้า
หุ้นกลุ่มพลังงาน, กลุ่มวัสดุ และกลุ่มอุตสาหกรรม ปรับตัวขึ้นด้วย
บรรดานักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การรายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ของบรรดาบริษัทสหรัฐ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า ผลประกอบการของบริษัทสหรัฐจะขยายตัว 65.8% เพิ่มขึ้นจากเดิมที่คาดไว้ที่ 54%
หุ้นลีวายส์ พุ่ง 1.4% หลังคาดว่า ผลกำไรทั้งปีของบริษัทจะแข็งแกร่งโดยได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นในตลาดกางเกงยีนส์, เสื้อและแจ็คเก็ต
หุ้นตีตี โกลบอล อิงค์ของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้น 7.3% หลังร่วงลง 4 วัน เนื่องจากบริษัทถูกตรวจสอบโดยหน่วยงานกำกับดูแลด้านอินเทอร์เน็ตของจีนในช่วงที่ผ่านมา
บรรดานักลงทุนจะรอฟังถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์หน้า เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ, อัตราเงินเฟ้อ, ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ รวมทั้งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
ทั้งนี้ นายพาวเวลมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรส โดยเขาจะกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 14 ก.ค. และต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 15 ก.ค.