ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์พลิกดีดตัวสู่แดนบวกในวันนี้ ขานรับการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทโบอิ้ง และไฟเซอร์ อิงค์
ณ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 3 จุด หรือ 0.01% สู่ระดับ 34,956 จุด หลังจากร่วงลงสู่แดนลบก่อนหน้านี้
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยจากจำนวนบริษัทในดัชนี S&P 500 ที่ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 แล้ว พบว่า 89% มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ 86% มีรายได้สูงกว่าคาด
ราคาหุ้นของบริษัทโบอิ้งพุ่งขึ้นกว่า 3% ในการซื้อขายก่อนเปิดตลาดหุ้นวอลล์สตรีท หลังบริษัทสามารถทำกำไรเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี โดยได้อานิสงส์จากการส่งมอบเครื่องบินพาณิชย์จำนวนมาก ขณะที่อุตสาหกรรมการบินเริ่มฟื้นตัวขึ้นจากวิกฤตการณ์โควิด-19
ก่อนหน้านี้ โบอิ้งประสบภาวะขาดทุนติดต่อกัน 6 ไตรมาส จากผลกระทบของการชะลอการผลิตเครื่องบิน ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้ โบอิ้งเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 40 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 2 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจะมีตัวเลขขาดทุน 83 เซนต์/หุ้น นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.654 หมื่นล้านดอลลาร์
ไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีกำไรและรายได้สูงกว่าคาดในไตรมาส 2 โดยได้ปัจจัยหนุนจากยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19
ไฟเซอร์เปิดเผยว่า บริษัทมียอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 สูงถึง 7.8 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 และบริษัทได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนในปีนี้สู่ระดับ 3.35 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิมที่ระดับ 2.6 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ไฟเซอร์มีกำไร 1.07 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 2 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.97 ดอลลาร์/หุ้น นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้ 1.898 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.874 หมื่นล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันนี้ หลังจากที่เฟดได้สร้างความตื่นตระหนกต่อตลาดการเงินในการประชุมเดือนที่แล้ว โดยได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าคาดถึง 1 ปี นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้สู่ระดับ 3.4% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนมี.ค.ที่ระดับ 2.4%
ตลาดจับตาการส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในคืนนี้ รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค.
การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮลในปีนี้ จะเป็นการประชุมแบบพบหน้ากัน หลังจากที่เมื่อปีที่แล้ว เฟดต้องจัดการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ครั้งแรกในรอบเกือบ 40 ปี เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ที่ผ่านมา การประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล ถือเป็นการประชุมที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีผู้ว่าการธนาคารกลาง รัฐมนตรีคลัง นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน จากประเทศต่างๆทั่วโลก เดินทางเข้าร่วมการประชุม ขณะที่ไฮไลท์จะอยู่ที่การกล่าวปาฐกถาของประธานเฟดในขณะนั้นเพื่อแสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับนโยบายการเงินของเฟด และแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ
นักวิเคราะห์คาดการณ์ไทม์ไลน์ของเฟดว่า เฟดจะเริ่มปรับลด QE ในเดือนม.ค.2565 โดยจะปรับลดวงเงิน QE เดือนละ 20,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่เฟดทำ QE วงเงิน 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน ซึ่งจะทำให้เฟดใช้เวลา 6 เดือนในการปรับลด QE จนเหลือ 0 หมายความว่าเฟดจะยุติการทำ QE โดยสิ้นเชิงในช่วงกลางปี 2565 และเฟดจะพักการดำเนินการเป็นเวลา 1 ปีเพื่อให้ตลาดปรับตัว ก่อนที่จะทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี 2566