ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเมื่อคืนนี้ (3 ส.ค.) ที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทชั้นนำในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร แม้การปรับตัวขึ้นของตลาดยังคงถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาที่เพิ่มขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับการที่รัฐบาลจีนคุมเข้มด้านกฎระเบียบกับภาคธุรกิจต่างๆ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดตลาดที่ระดับ 465.38 จุด เพิ่มขึ้น 0.93 จุด หรือ +0.20%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,723.81 จุด เพิ่มขึ้น 47.91 จุด หรือ +0.72% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,105.72 จุด เพิ่มขึ้น 24.00 จุด หรือ +0.34% แต่ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,555.08 จุด ลดลง 13.65 จุด หรือ -0.09%
ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซที่ปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยหุ้นบีพี พุ่งขึ้น 5.6% หลังปรับเพิ่มเงินปันผล และมีแผนซื้อหุ้นคืนหลังเปิดเผยผลกำไรไตรมาส 2 พุ่งขึ้น
หุ้นโซซิเอเต เจเนอราลของฝรั่งเศส พุ่ง 6.4% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์ผลกำไรทั้งปีนี้ ขณะที่หุ้นสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ดของอังกฤษ บวก 1.0% หลังรายงานผลกำไรครึ่งปีแรกสูงเกินคาด
แต่หุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการ ร่วงลง 2.6% เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาอาจทำให้มีการควบคุมการเดินทางมากขึ้น
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลจีนมีเป้าหมายควบคุมบริษัทผลิตวิดีโอเกม
หุ้นโปรซัสซึ่งถือหุ้นในเทนเซ็นต์ของจีน ร่วง 6.9% ขณะที่ยูบิซซอฟท์และเอ็มบราเซอร์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทผลิตวิดีโอเกม ร่วงลง 5.0% และ 3.7% ตามลำดับ
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังปรับตัวลงอย่างมาก หลังหุ้นอินฟิเนียนซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปของเยอรมนี ลดลง 0.4% จากปัญหาด้านการผลิต