ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (13 ส.ค.) โดยดัชนีดาวโจนส์ และ S&P500 ปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และปิดตลาดสัปดาห์นี้ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน หลังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นวอลท์ ดิสนีย์ แต่ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากถูกกดดันจากการเปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐที่ลดลงเกินคาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,515.38 จุด เพิ่มขึ้น 15.53 จุด หรือ +0.04%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,468.00 จุด เพิ่มขึ้น 7.17 จุด หรือ +0.16% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,822.90 จุด เพิ่มขึ้น 6.64 จุด หรือ +0.04%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 0.87% และดัชนี S&P500 บวก 0.71% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ลดลง 0.09%
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก นำโดยกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งเพิ่มขึ้น 0.81% ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงมากที่สุด 1.29%
หุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ปรับตัวขึ้น 1% โดยมีส่วนช่วยหนุนดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ปิดบวก หลังดิสนีย์เปิดเผยผลกำไรสูงเกินคาด เนื่องจากบริการสตรีมมิ่งมีลูกค้าเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด และสวนสนุกในสหรัฐซึ่งได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ระบาดนั้นกลับมามีความสามารถในการทำกำไรอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวขึ้นได้ไม่มากนัก หลังจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 70.2 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2554 จากระดับ 81.2 ในเดือนก.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าอาจจะทรงตัวที่ระดับ 81.2 โดยการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตาส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
บรรดานักลงทุนจะจับตาการประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิงในวันที่ 26-28 ส.ค.นี้ โดยคาดว่า เฟดจะส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งแนวโน้มการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมดังกล่าว