ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปิดภาคเช้าปรับตัวลงในวันนี้ หลังถูกกดดันจากการเปิดเผยรายงานการประชุมเดือนก.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องที่จะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปีนี้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ 27,394.43 จุด ลดลง 191.48 จุด หรือ -0.69% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 25,425.28 จุด ลดลง 441.73 จุด หรือ -1.71%
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 27-28 ก.ค. โดยระบุว่า "กรรมการเฟดส่วนใหญ่มองว่า เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นตามที่เฟดคาดการณ์ไว้ ก็เป็นเรื่องเหมาะสมที่เฟดจะเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการ QE ในปีนี้ ขณะเดียวกันกรรมการเฟดมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐได้บรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อแล้ว และการขยายตัวของการจ้างงานก็ใกล้จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ"
ทั้งนี้ กรรมการเฟดย้ำว่า การปรับลดวงเงิน QE ควรต้องเกิดขึ้นก่อน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่ากระบวนการปรับลดวงเงิน QE จะเสร็จสิ้น และเฟดจะต้องไม่ทำให้งบดุลบัญชีของเฟดขยายตัวขึ้นอีกต่อไป
ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติออสเตรเลีย (ABS) รายงานในวันนี้ว่า อัตราว่างงานเดือนก.ค.ของออสเตรเลียปรับตัวลงสู่ระดับ 4.6% เนื่องจากมีประชาชนจำนวนน้อยลงที่หางานทำในช่วงที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์เมืองซิดนีย์และเมลเบิร์นเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
อัตราว่างงานเดือนก.ค.ปรับตัวลงจากระดับ 4.9% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราว่างงานของออสเตรเลียจะพุ่งขึ้นเนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ทำให้ภาคธุรกิจขาดความเชื่อมั่น ส่วนตัวเลขการจ้างงานในเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 2,000 ตำแหน่ง ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขจ้างงานจะลดลงเกือบ 50,000 ตำแหน่ง
อย่างไรก็ดี คาดว่าตลาดแรงงานของออสเตรเลียจะอ่อนแอลงในเดือนส.ค. เนื่องจากมีการขยายเวลาล็อกดาวน์ในรัฐนิวเซาท์เวลส์และเมืองเมลเบิร์นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจออสเตรเลียจะชะลอตัวลงอย่างมากในไตรมาส 3