ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวแคบในวันนี้ ก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในคืนนี้
ณ เวลา 18.40 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบ 16 จุด หรือ 0.05% สู่ระดับ 34,685 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งกว่า 200 จุดเมื่อคืนนี้ โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้นกว่า 3% นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับดัชนีภาคการผลิตของนิวยอร์กที่ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด
ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก ระบุว่า ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) พุ่งขึ้นสู่ระดับ 34.3 ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 18.0 จากระดับ 18.3 ในเดือนส.ค. โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน รวมทั้งความเชื่อมั่นของบริษัทในภาคการผลิต
นักลงทุนจับตาดัชนีภาคการผลิตจากเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียในคืนนี้ รวมทั้งการเปิดเผยยอดค้าปลีก และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ เพื่อหาสัญญาณการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
แม้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทพุ่งขึ้นวานนี้ แต่สถิติในอดีตบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมักปรับตัวย่ำแย่ในเดือนก.ย.
ทั้งนี้ ข้อมูลจาก "Stock Trader's Almanac" ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2493 เดือนก.ย.เป็นเดือนที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดของปี และนับตั้งแต่ปี 2488 ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเฉลี่ย 0.56% ในเดือนก.ย. ขณะที่เดือนก.พ.เป็นอีกหนึ่งเดือนที่ดัชนี S&P 500 มักปรับตัวลง
สำหรับในเดือนก.ย.ปีนี้ ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงแล้ว 1.6% ส่วนดัชนี S&P 500 ร่วงลง 0.9% โดยมีแนวโน้มเป็นเดือนที่มีการปรับตัวย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 0.6%
นักวิเคราะห์เตือนว่า หลังจากปรับตัวขึ้น 7 เดือนติดต่อกัน ขณะนี้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทกำลังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการปรับฐานจากปัจจัยหลายประการ เช่น การที่เฟดอาจประกาศปรับลดวงเงิน QE ในการประชุมเดือนนี้, การที่สภาคองเกรสอาจให้การอนุมัติการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
นางลิซ แอน ซอนเดอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Charles Schwab เตือนว่าตลาดหุ้นอาจปรับฐานมากกว่า 3% หรือ 4% ในเดือนนี้
นอกจากนี้ สถิติที่ผ่านมาบ่งชี้ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐมักดิ่งลงอย่างหนักในเดือนก.ย. โดยเฉพาะหากเป็นปีแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งทำให้ดัชนี S&P 500 ร่วงลงเฉลี่ย 0.73% ในเดือนก.ย.ของปีดังกล่าว