ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (29 ก.ย.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นที่ปลอดภัยและสามารถต้านทานวัฎจักรทางเศรษฐกิจได้ดี (defensive stocks) เช่นหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มสินค้าผู้บริโภค อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่อยู่ในระดับสูงยังคงเป็นปัจจัยฉุดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,390.72 จุด เพิ่มขึ้น 90.73 จุด หรือ +0.26% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,359.46 จุด เพิ่มขึ้น 6.83 จุด หรือ + 0.16% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,512.44 จุด ลดลง 34.24 จุด หรือ -0.24%
นักวิเคราะห์จากบริษัท Wealthspire Advisors กล่าวว่า แม้ดัชนีดาวโจนส์ฟื้นตัวหลังจากที่ดิ่งลงกว่า 500 จุดเมื่อวันอังคาร (28 ก.ย.) แต่ตลาดยังคงถูกกดดันจาก 3 ปัจจัย ซึ่งได้แก่ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE), ความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อในสหรัฐ และความขัดแย้งในสภาคองเกรสเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคดีดตัวขึ้น 1.3% โดยหุ้นเอ็กเซลอน คอร์ปอเรชั่น เพิ่มขึ้น 0.89% หุ้นดุ๊ค เอนเนอร์จี พุ่งขึ้น 1.33 % หุ้นพอร์ทแลนด์ เจเนอรัล อิเล็กทริก พุ่งขึ้น 1.31% หุ้นพีพีแอล คอร์ปอเรชัน ดีดขึ้น 0.85%
ดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคปรับตัวขึ้น 0.87% หุ้นไทสัน ฟู้ดส์ พุ่งขึ้น 3.43% หุ้นเป๊ปซี่โค โค เพิ่มขึ้น 0.83% หุ้นฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล บวก 1.09%
หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 2.39% หลังจากที่บริษัทเปิดเผยว่า โมลนูพิราเวียร์ (molnupiravir) มีประสิทธิภาพในการต้านไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
หุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 1.11% ขานรับรายงานที่ว่า บริษัทไฟเซอร์และไบออนเทคได้ยื่นข้อมูลการทดลองทางคลินิกขั้นต้นต่อหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐ เพื่อขออนุมัติใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในกลุ่มเด็กอายุ 5-11 ปี ขณะที่สถาบันกุมารเวชศาสตร์แห่งอเมริกา (AAP) ระบุว่า ชาวอเมริกันหลายล้านคนต่างรอคอยการตัดสินใจเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนในกลุ่มเด็กเล็ก เนื่องจากยอดติดเชื้อโควิด-19 ในกลุ่มเด็กเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในช่วงต้นเดือนก.ย.
หุ้นโบอิ้ง พุ่งขึ้น 3.18% หลังมีรายงานว่าเครื่องบินรุ่น 737 MAX ของโบอิ้งผ่านการทดสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านการบินของจีน
อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารร่วงลง และเป็นปัจจัยกดดันดัชนี Nasdaq ปิดในแดนลบ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปียังคงอยู่เหนือระดับ 1.5% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นทวิตเตอร์ ดิ่งลง 3.78% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ร่วงลง 2% หุ้นเฟซบุ๊ก ลดลง 0.31% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 1.09% หุ้น Nvidia ลดลง 0.88% หุ้นอินเทล ปรับตัวลง 0.94%
นักลงทุนจับตาสภาคองเกรสในการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวและการเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐ โดยวุฒิสภาทำการลงมติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวในวันพุธที่ 29 ก.ย.ตามเวลาสหรัฐ เพื่อสนับสนุนหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐให้มีงบประมาณใช้จ่ายจนถึงวันที่ 3 ธ.ค. แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่รวมถึงการเพิ่มเพดานหนี้ของสหรัฐ โดยประเด็นการเพิ่มเพดานหนี้จะมีการหารือเพื่อบรรลุข้อตกลงกันหลังจากนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) รายงานว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) พุ่งขึ้น 8.1% สู่ระดับ 119.5 ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.4%
ทั้งนี้ ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย เป็นมาตรวัดจำนวนสัญญาซื้อบ้านมือสองที่มีการเซ็นสัญญาแล้วแต่ยังไม่ได้ปิดการขาย และโดยปกติแล้วจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนสำหรับการเซ็นสัญญาจนกระทั่งปิดการขาย
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2564 (ประมาณการครั้งสุดท้าย), รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนส.ค., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนส.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนก.ย.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.ย.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน