ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเมื่อคืนนี้ (4 ต.ค.) เป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน โดยยังคงปรับตัวอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 11 สัปดาห์ โดยถูกกดดันจากสัญญาณเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น, อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้น และปัญหาด้านการเงินของบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ของจีน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 450.77 จุด ลดลง 2.13 จุด หรือ -0.47%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,477.66 จุด ลดลง 40.03 จุด หรือ -0.61%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,036.55 จุด ลดลง 119.89 จุด หรือ -0.79% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,011.01 จุด ลดลง 16.06 จุด หรือ -0.23%
แรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกดดันตลาดลงด้วย หลังจากหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดหุ้นสหรัฐถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวขึ้น
หุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มสินค้าหรูหราปรับตัวลงจากความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่จีนซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกเผชิญกับการควบคุมโรคโควิด-19 ครั้งใหม่, การชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการคุมเข้มด้านกฎระเบียบ
หุ้นเคอริ่ง และหุ้นหลุยส์วิตตอง ซึ่งมีรายได้ส่วนใหญ่จากจีน ร่วงลง 1.3% และ 1.4% ตามลำดับ
ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากการเปิดเผยผลสำรวจที่บ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในยูโรโซนในเดือนต.ค. ลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. เนื่องจากการคาดการณ์เศรษฐกิจซบเซาลง
แต่หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด โดยหุ้นไรอันแอร์และหุ้น IAG ซึ่งเป็นเจ้าของสายการบินบริติช แอร์เวย์ ปรับตัวขึ้น 3% และ 0.1% ตามลำดับ หลังมีรายงานว่า ภายในสัปดาห์นี้ อังกฤษจะเปิดรับผู้เดินทางจากประเทศต่าง ๆ มากขึ้นโดยไม่ต้องกักตัว