ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ (25 ต.ค.) โดยได้แรงหนุนจากราคาหุ้นเทสลาที่พุ่งขึ้นกว่า 12% ขานรับยอดสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากถึง 100,000 คัน นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตารายงานประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเฟซบุ๊กและอัลฟาเบท
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,741.15 จุด เพิ่มขึ้น 64.13 จุด หรือ + 0.18%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,566.48 จุด เพิ่มขึ้น 21.58 จุด หรือ +0.47% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,226.71 จุด เพิ่มขึ้น 136.51 จุด หรือ + 0.90%
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 2.11% โดยหุ้นราล์ฟ ลอเรน ปรับตัวขึ้น 0.76% หุ้นไนกี้ ดีดขึ้น 0.45% หุ้นคาปรี โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 1.14%% หุ้นบาธ แอนด์ บอดี้ เวิร์คส์ พุ่งขึ้น 2%
ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.44% หลังจากราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นทะลุระดับ 85 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.92% หุ้นเชฟรอน บวก 0.93% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 1.27% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 1.06%
หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมดีดตัวขึ้น โดยหุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) พุ่งขึ้น 1.19% หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ปรับตัวขึ้น 0.78% หุ้น 3M บวก 0.88%
หุ้นเทสลา พุ่งขึ้น 12.66% ปิดตลาดที่ระดับ 1,024.86 ดอลลาร์ ส่งผลให้เทสลากลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ขานรับข่าวที่ว่า บริษัทเฮิร์ซ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถยนต์เช่ารายใหญ่ของโลก ได้สั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาจำนวนมากถึง 100,000 คัน
ทั้งนี้ คำสั่งซื้อดังกล่าวถือเป็นคำสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าครั้งใหญ่ที่สุด และจะทำรายได้ให้แก่เทสลาถึง 4.2 พันล้านดอลลาร์ โดยภายใต้ข้อตกลงนี้ เทสลาจะส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าให้แก่เฮิร์ซภายในสิ้นปี 2565
หุ้นเพย์พาล โฮลดิ้งส์ (Paypal Holdings) พุ่งขึ้น 2.7% หลังจากเพย์พาลประกาศยกเลิกแผนซื้อกิจการบริษัทพินเทอเรสต์ (Pinterest) ซึ่งเป็นธุรกิจโซเชียลมีเดียในวงเงิน 4.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ข่าวดังกล่าวได้ฉุดหุ้นพินเทอเรสต์ร่วงลง 12.71%
หุ้นคิมเบอร์ลีย์-คล้าค ผู้ผลิตผ้าอ้อมเด็ก Huggies ร่วงลง 2.2% หลังจากบริษัทปรับลดแนวโน้มผลกำไรในปีงบการเงิน 2564 เนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้น
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ เฟซบุ๊ก อัลฟาเบท ไมโครซอฟท์ แอมะซอน และแอปเปิล ขณะที่บริษัทแคทเธอร์พิลลาร์ โคคา-โคลา โบอิ้ง และแมคโดนัลด์ มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการเช่นกัน
ข้อมูลจาก Refinitiv ระบุว่า บริษัทจำนวน 117 แห่งในดัชนี S&P 500 ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 แล้ว โดย 84% ในจำนวนนี้มีผลประกอบการที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ และนักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีการขยายตัวของกำไรในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นถึง 35%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาชิคาโก เปิดเผยว่า ดัชนี Chicago Fed National Activity Index (CFNAI) ปรับตัวลงสู่ระดับ -0.13 ในเดือนก.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ +0.35 จากระดับ +0.05 ในเดือนส.ค. โดยดัชนีได้รับผลกระทบจากการปรับตัวลงของการผลิตในภาคอุตสาหกรรม
นักวิเคราะห์ระบุว่า ดัชนี CFNAI ถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดในการประเมินความเสี่ยงในการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนส.ค.จากเอสแอนด์พี/เคสชิลเลอร์, ยอดขายบ้านใหม่เดือนก.ย., ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.จาก Conference Board, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนก.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2564 (ประมาณการเบื้องต้น), ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนก.ย., รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนก.ย., ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน