ดัชนีดาวโจนส์แทบไม่ขยับ ขณะที่นักลงทุนชะลอการซื้อขาย ก่อนการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้
ณ เวลา 20.47 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 35,919.35 จุด บวก 5.51 จุด หรือ 0.02%
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันนี้และพรุ่งนี้ โดยคาดว่าเฟดอาจปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งนี้
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ในแถลงการณ์หลังการประชุมพรุ่งนี้ เฟดจะประกาศปรับลดวงเงิน QE เดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนพ.ย. ซึ่งจะทำให้เฟดยุติการทำ QE โดยสิ้นเชิงในกลางปี 2565
ที่ผ่านมา เฟดทำ QE อย่างน้อย 120,000 ล้านดอลลาร์/เดือน โดยเฟดซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์/เดือน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเพิ่มคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในกลางปีหน้า หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในเดือนก.ย.
FedWatch Tool ของ CME Group ซึ่งวิเคราะห์การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้ม 50% ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนมิ.ย.2565 เทียบกับตัวเลขคาดการณ์เพียง 15% ก่อนหน้านี้
ราคาหุ้นของไฟเซอร์ อิงค์ ซึ่งเป็นบริษัทยาใหญ่ที่สุดของสหรัฐ พุ่งขึ้น 2% ในการซื้อขายวันนี้ หลังบริษัทประกาศปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ยอดขายวัคซีนต้านโควิด-19 ในปีนี้ขึ้นอีก 7.5% สู่ระดับ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.2 ล้านล้านบาท จากเดิมที่ระดับ 3.35 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.1 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ การปรับตัวเลขคาดการณ์ยอดขายดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ไฟเซอร์สามารถลงนามในข้อตกลงกับหลายประเทศในการจำหน่ายวัคซีนเข็มกระตุ้น และจากการที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขของประเทศต่างๆให้การอนุมัติการฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ให้แก่เด็ก
ขณะนี้ วัคซีนต้านโควิด-19 ได้กลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดของไฟเซอร์ในประวัติศาสตร์ 172 ปีของบริษัท
อย่างไรก็ดี ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับบริษัทไบออนเทค ซึ่งร่วมพัฒนาวัคซีนต้านโควิดแบบ mRNA ไฟเซอร์จะแบ่งค่าใช้จ่ายและกำไรจากการจำหน่ายวัคซีนในสัดส่วน 50-50 กับไบออนเทค
ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นของบริษัทเทสลาดิ่งเกือบ 2% ในการซื้อขายวันนี้ หลังจากที่นายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเทสลายอมรับว่า ทางบริษัทยังไม่ได้ลงนามในข้อตกลงกับบริษัทเฮิร์ซเพื่อจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 100,000 คันแต่อย่างใด
"ผมขอย้ำว่ายังไม่มีการลงนามในสัญญาแต่อย่างใด โดยเรื่องข้อตกลงกับเฮิร์ซไม่ได้มีผลกระทบต่อสถานะการเงินของเรา" นายมัสก์ระบุ
ทั้งนี้ ราคาหุ้นของเทสลาพุ่งขึ้นกว่า 10% ในวันที่ 25 ต.ค. หลังมีข่าวว่า บริษัทเฮิร์ซ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถยนต์เช่ารายใหญ่ของโลก ได้สั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของเทสลาจำนวน 100,000 คัน ส่งผลให้เทสลากลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับแอปเปิล แอมะซอน และไมโครซอฟท์
คำสั่งซื้อดังกล่าวถือเป็นคำสั่งซื้อรถยนต์ไฟฟ้าครั้งใหญ่ที่สุด และจะทำรายได้ให้แก่เทสลาถึง 4.4 พันล้านดอลลาร์
ราคาหุ้นของเทสลายังได้รับผลกระทบจากการที่บริษัทเรียกคืนรถยนต์จำนวนเกือบ 12,000 คันที่มีการจำหน่ายในสหรัฐนับตั้งแต่ปี 2560 เนื่องจากมีปัญหาของซอฟท์แวร์ซึ่งอาจทำให้ระบบเบรกฉุกเฉินทำงานผิดปกติ