ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (8 พ.ย.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ทำสถิติปิดที่เหนือระดับ 4,700 จุดเป็นครั้งแรก ขานรับสภาคองเกรสสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรการที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐให้แข็งแกร่งขึ้น โดยข่าวดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มวัสดุ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,432.22 จุด เพิ่มขึ้น 104.27 จุด หรือ +0.29%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,701.70 จุด เพิ่มขึ้น 4.17 จุด หรือ +0.09% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,982.36 จุด เพิ่มขึ้น 10.77 จุด หรือ +0.07%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ขณะที่ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 8 เมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนขานรับข่าวสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอนุมัติร่างกฎหมายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน วงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งต่อให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ โครงการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ปธน.ไบเดนให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก โดยโครงการดังกล่าวจะรวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณในการก่อสร้างถนน สะพาน ทางรถไฟ ปัจจัยพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงการอื่นๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ
นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มวัสดุ เนื่องจากเชื่อว่าหุ้นเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากการผ่านร่างกฎหมายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยหุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 4.09% หุ้นวัลแคน มาเทเรียลส์ ทะยานขึ้น 4.91% หุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน พุ่งขึ้น 6.45% หุ้นนูคอร์ คอร์ปอเรชัน พุ่งขึ้น 3.6% หุ้นจาคอปส์ เอนจิเนียริง ปรับตัวขึ้น 1.65% หุ้นยูเอส สตีล คอร์ป พุ่งขึ้น 2.71%
หุ้นกลุ่มสายการบินปรับตัวขึ้น หลังจากรัฐบาลสหรัฐอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ครบโดสสามารถเดินทางเข้าสหรัฐได้นับตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. โดยหุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ เพิ่มขึ้น 0.76% หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ พุ่งขึ้น 1.97% หุ้นเดลต้า แอร์ไลน์ บวก 0.81%
หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน โดยหุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม พุ่งขึ้น 2.6% หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 1.08% หุ้นเชฟรอน บวก 0.35% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 1.74% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ เพิ่มขึ้น 0.61%
อย่างไรก็ดี หุ้นเทสลา ร่วงลง 4.84% และเป็นปัจจัยกดดันตลาดในระหว่างวัน หลังจากที่นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลา ได้ตั้งโพลสอบถามความคิดเห็นกับผู้ติดตามในทวิตเตอร์ด้วยคำถามที่ว่า เขาควรขายหุ้นเทสลา 10% จากหุ้นที่ถืออยู่หรือไม่ ซึ่งผลโหวตกว่า 3.5 ล้านเสียง หรือคิดเป็น 57.9% แนะนำให้เขาขายหุ้นเทสลาจำนวน 10% เพื่อนำเงินจำนวนนั้นไปจ่ายภาษี
นักลงทุนจับตาสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในวันอังคารและวันพุธตามลำดับ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมเดือนต.ค.จากสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ย., ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนก.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนพ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน