ดัชนีดาวโจนส์ปรับฐานร่วงลงเกือบ 100 จุด หลังจากพุ่งขึ้นในการซื้อขายวานนี้
ณ เวลา 21.45 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 36,341.97 จุด ลบ 91.15 จุด หรือ 0.25%
ดัชนีดาวโจนส์ปิดดีดตัวขึ้นกว่า 100 จุด ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวานนี้ ขานรับสภาคองเกรสสหรัฐมีมติผ่านร่างกฎหมายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานวงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐ
ทั้งนี้ โครงการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก โดยโครงการดังกล่าวจะรวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณในการก่อสร้างถนน สะพาน ทางรถไฟ ปัจจัยพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงการอื่นๆ
หุ้นของบริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค (GE) พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังประกาศปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยหวังพลิกฟื้นธุรกิจของบริษัท
GE เปิดเผยในวันนี้ว่า บริษัทจะแยกกิจการออกเป็นบริษัท 3 แห่ง แบ่งเป็นธุรกิจการบิน, พลังงาน และผลิตภัณฑ์รักษาสุขภาพ หลังจากที่บริษัทประสบปัญหาทางการเงินในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
GE จะยังคงดูแลธุรกิจการบิน และจะแยกธุรกิจผลิตภัณฑ์รักษาสุขภาพในช่วงต้นปี 2023 และแยกธุรกิจพลังงานในต้นปี 2024
นายลอเรนซ์ คัลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ GE กล่าวว่า การแยกกิจการดังกล่าวจะทำให้แต่ละบริษัทได้รับประโยชน์จากการทุ่มความสนใจในแต่ละธุรกิจ ซึ่งจะผลักดันการขยายตัวในระยะยาว และเพิ่มมูลค่าให้แก่ลูกค้า, นักลงทุน และพนักงานบริษัท
นายโทมัส เอดิสันเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท GE ในช่วงปลายทศวรรษ 1880 ขณะที่ GE เคยเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่สุดในสหรัฐ โดยเป็นยักษ์ใหญ่ในภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นเจ้าของสื่อใหญ่อย่าง NBC Universal และ GE Capital ซึ่งเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่ แต่หลังจากนั้น GE ก็ต้องขายธุรกิจทั้ง 2 ออก เนื่องจากประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักจากวิกฤตการเงินในปี 2008 ท่ามกลางภาวะการแข่งขันอย่างหนักในตลาด และ GE ยังได้ประกาศขายกิจการหลอดไฟ และธุรกิจสร้างทางรถไฟในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ ในเดือนมิ.ย.2018 บริษัท GE ได้ถูกถอดออกจากดัชนีดาวโจนส์ หลังจากที่ถูกใช้ในการคำนวณดัชนีมายาวนานกว่า 100 ปี
หุ้นของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ซึ่งเป็นบริษัทยารายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 0.5% แม้บริษัทเปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐได้สั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคโควิด-19 เพิ่มเติมอีกจำนวน 1.4 ล้านคอร์ส วงเงิน 1 พันล้านดอลลาร์
คำสั่งซื้อดังกล่าว ทำให้รัฐบาลสหรัฐสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จำนวนรวม 3.1 ล้านคอร์ส วงเงิน 2.2 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่ได้สั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จำนวน 1.7 ล้านคอร์ส วงเงิน 1.2 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.
ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ดีดตัวขึ้น 0.6% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากปรับตัวขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 8.6% ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนพ.ย.2553 หลังจากดีดตัวขึ้น 8.6% เช่นกันในเดือนก.ย.
ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และพุ่งขึ้น 6.2% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2553