ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (12 พ.ย.) แตะระดับนิวไฮ และปิดในแดนบวกเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 486.75 จุด เพิ่มขึ้น 1.46 จุด หรือ +0.30%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,091.40 จุด เพิ่มขึ้น 31.85 จุด หรือ +0.45%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 16,094.07 จุด เพิ่มขึ้น 10.96 จุด หรือ +0.07% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,347.91 จุด ลดลง 36.27 จุด หรือ -0.49%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดครั้งใหม่ในวันศุกร์ และบวกขึ้น 0.7% ในรอบสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์หลายครั้งในเดือนพ.ย. โดยได้แรงหนุนจากการดำเนินนโยบายการเงินที่ยังคงผ่อนคลายของธนาคารกลางต่าง ๆ, การเปิดเผยผลประกอบการที่สดใส และสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังโรคระบาดลดลง
หุ้นริชมอนท์ เจ้าของแบรนด์คาร์เทียร์ พุ่งขึ้น 10.9% และปรับตัวขึ้นมากที่สุดในตลาดยุโรป หลังเปิดเผยผลกำไรรอบ 6 เดือนสูงเกินคาด และกำลังมองหานักลงทุนสำหรับธุรกิจ Yoox ที่ประสบภาวะขาดทุน
หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหรายังได้แรงหนุนจากหุ้นหลุยส์ วิตตอง ซึ่งพุ่งขึ้น 2.5% หลังจากมีรายงานข่าวว่า หลุยส์ วิตตอง กำลังวางแผนที่จะเปิดร้านปลอดภาษีแห่งแรกในจีน
หุ้นเรโนลต์ พุ่งขึ้น 4.4% หลังมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุน
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นมากที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยเพิ่มขึ้น 4% หลังตลาดคลายวิตกเกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน โดยเฉพาะบริษัทไชน่า เอเวอร์แกรนด์ ซึ่งได้ช่วยหนุนราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการ ร่วงลง 3.7% โดยเป็นการปรับตัวลงรายสัปดาห์มากที่สุด เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการกลับไปกำหนดมาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่ในยุโรป หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 พุ่งขึ้นในหลายประเทศ อาทิ เยอรมนี, ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์
หุ้นกลุ่มน้ำมัน ปรับตัวลง 1% หลังราคาน้ำมันดิบถูกกดดันจากเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นรับการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด