ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นในวันอังคาร (16 พ.ย.) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นรายตัวที่พุ่งขึ้นขานรับแนวโน้มผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และบรรยากาศการซื้อขายยังได้แรงหนุนจากความตึงเครียดที่ผ่อนคลายลงระหว่างสหรัฐและจีน หลังการประชุมทางไกลระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดนและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นไปอย่างราบรื่น
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 489.27 จุด เพิ่มขึ้น 0.84 จุด หรือ +0.17%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,152.60 จุด เพิ่มขึ้น 23.97 จุด หรือ +0.34%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 16,247.86 จุด เพิ่มขึ้น 99.22 จุด หรือ +0.61% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,326.97 จุด ลดลง 24.89 จุด หรือ -0.34%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นโดยได้แรงหนุนจากหุ้นรายตัวที่พุ่งขึ้นขานรับแนวโน้มผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยหุ้นโพรซัส พุ่งขึ้น 4.2% หลังคาดการณ์ผลกำไรครึ่งแรกของปี 2565 เพิ่มขึ้น และระดมทุนได้ 1.23 หมื่นล้านดอลลาร์จากขายหุ้นในบริษัทเท็นเซนต์ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา
หุ้นเคอริ่ง พุ่ง 4.4% หลังคาดว่ารายได้ปี 2564 จะเท่ากับหรือมากกว่าระดับก่อนเกิดโรคระบาด และเอชเอสบีซีได้เพิ่มคำแนะนำซื้อหุ้นเคอริ่งซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์กุชชี่
หุ้นกลุ่มสื่อสารโทรคมนาคม ปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากหุ้นโวดาโฟนที่ปรับตัวขึ้น 0.5% หลังปรับเพิ่มแนวโน้มกระแสเงินสดอิสระประจำปี
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังได้แรงหนุนจากการประชุมทางไกลระหว่างปธน.ไบเดนและปธน.สี เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสหรัฐและจีน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของยูโรโซนในไตรมาส 3 (ก.ค.-ก.ย.) ปรับตัวขึ้น 2.2% เมื่อเทียบรายไตรมาส
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่ได้หลายครั้งในเดือนพ.ย. โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน, ธนาคารกลางยุโรปส่งสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินที่ยังคงผ่อนคลาย และข้อมูลเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งได้ช่วยบดบังแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นครั้งใหม่ทั่วยุโรป