ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อวันศุกร์ (3 ธ.ค.) โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ต่ำกว่าคาด ซึ่งบ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานสหรัฐยังคงไม่ฟื้นตัวจากผลกระทบของโรคโควิด-19 ที่ยังคงแพร่ระบาด
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,580.08 จุด ลดลง 59.71 จุด หรือ -0.17%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,538.43 จุด ลดลง 38.67 จุด หรือ -0.84% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,085.47 จุด ร่วงลง 295.85 จุด หรือ -1.92%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 0.92% โดยปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน, ดัชนี S&P500 ลดลง 1.2% โดยลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน และดัชนี Nasdaq ลดลง 2.62% โดยลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร เพิ่มขึ้นเพียง 210,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 581,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงาน ปรับตัวลงสู่ระดับ 4.2% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.5%
ตลาดยังถูกกดดัน เนื่องจากบรรดานักลงทุนคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเร่งถอนมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจ แม้ตัวเลขจ้างงานเดือนพ.ย.ของสหรัฐออกมาต่ำกว่าคาดก็ตาม และนักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับความไม่แน่นอนที่เกิดจากไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนด้วย
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวอย่างซบเซาเกือบตลอดทั้งวันหลังจากเปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ และดัชนีความผันผวนที่เพิ่มขึ้นบ่งชี้ถึงความวิตกของนักลงทุนโดยดัชนีความผันผวน CBOE Market Volatility ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท พุ่งขึ้นเหนือระดับ 35 ในการซื้อขายช่วงบ่ายวันศุกร์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปลายเดือนม.ค. และปิดตลาดเพิ่มขึ้น 9.7 จุด สู่ระดับ 30.67
บรรดานักลงทุนวิตกว่า เฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่า เฟดจะพิจารณาเร่งลดโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกว่า ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนดูเหมือนจะแพร่ระบาดได้เร็วกว่าสายพันธุ์เดลตา โดยจำนวนประเทศที่รายงานการพบไวรัสโอไมครอนยังคงเพิ่มขึ้นในวันศุกร์ แต่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับความรุนแรงของโรค และประสิทธิภาพของวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันในการป้องกันไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้
หุ้นบวกในดัชนี S&P500 ได้แก่หุ้นกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค บวก 1.4%, กลุ่มสาธารณูปโภค เพิ่มขึ้น 1% และกลุ่มเฮลธ์แคร์ เพิ่มขึ้น 0.25%
หุ้นลบมากที่สุดนำโดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ร่วงลง 1.8% รองลงมาได้แก่กลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งร่วงลง 1.65%
หุ้นตัวใหญ่ฉุดตลาดลงด้วย โดยหุ้นเทสลา ร่วงลง 6%, หุ้นอินวิเดีย ร่วง 4% ขณะที่หุ้นแอปเปิลและหุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลงมากกว่า 1%
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่เปิดเผยในวันศุกร์ยังรวมถึงการที่ไอเอชเอส มาร์กิต บริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงินรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 58.0 ในเดือนพ.ย. จากระดับ 58.7 ในเดือนต.ค.
อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคบริการของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจพุ่งสูงสุดในรอบ 5 เดือน