ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 500 จุดในวันศุกร์ (17 ธ.ค.) โดยถูกกดดันจากการเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโอมิครอน รวมถึงการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วขึ้น
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,365.44 จุด ลดลง 532.20 จุด หรือ -1.48%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,620.64 จุด ลดลง 48.03 จุด หรือ -1.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,169.68 จุด ลดลง 10.75 จุด หรือ -0.07%
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 1.7%, ดัชนี S&P500 ลดลง 1.9% และดัชนี Nasdaq ลดลง 2.9%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลง โดยถูกกดดันจากการที่เฟดส่งสัญญาณเมื่อวันพุธ (15 ธ.ค.) ว่า จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% จำนวน 3 ครั้งภายในสิ้นปีหน้าเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
หุ้นอินวิเดีย ร่วง 2.1% และหุ้นอัลฟาเบท ร่วง 1.9% ซึ่งส่งผลถ่วงดัชนี S&P500 และ Nasdaq
ดัชนีหุ้นเติบโต (Growth Index) ลบ 0.7% และดัชนีหุ้นคุณค่า (Value Index) ร่วงลง 1.4%
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวลง โดยกลุ่มการเงิน ร่วง 2.3% และกลุ่มพลังงาน ร่วง 2.2%
ตลาดถูกกดดันจากความไม่แน่นอนต่าง ๆ หลังไฟเซอร์เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาจยืดเยื้อไปจนถึงปีหน้า ขณะที่ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปได้เพิ่มมาตรการจำกัดด้านการเดินทางและการเว้นระยะห่างทางสังคม
นอกจากนี้ ผลการวิจัยยังเตือนว่า ไวรัสโอมิครอนอาจทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำมากกว่าไวรัสเดลตาถึง 5 เท่า
หุ้นออราเคิล ร่วงลง 6.4% หลังวอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า ออราเคิลกำลังเจรจาเพื่อซื้อบริษัทเซอร์เนอร์เป็นมูลค่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยหุ้นเซอร์เนอร์ พุ่งขึ้น 12.9%
หุ้นเฟดเอ็กซ์ คอร์ป พุ่งเกือบ 5% สวนทางตลาด หลังยืนยันคาดการณ์งบการเงินในปีหน้า