ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดทะยานกว่า 500 จุดในวันนี้ โดยนักลงทุนช้อนซื้อหุ้นที่ดิ่งลงก่อนหน้านี้ หลังตลาดร่วงลงติดต่อกัน 3 วัน
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนจะไม่ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนในแถลงการณ์ที่จะมีต่อชาวอเมริกันในวันนี้
ขณะเดียวกัน ตลาดยังได้แรงหนุน หลังสื่อรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อาจให้การอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค และยาแพกซ์โลวิดของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ อย่างเร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้ (22 ธ.ค.) ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉิน
ณ เวลา 00.29 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 35,443.20 จุด บวก 511.04 จุด หรือ 1.46%
หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นนำตลาด ตามการดีดตัวของราคาน้ำมันในวันนี้
หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มสายการบิน และกลุ่มธุรกิจเรือสำราญ ปรับตัวขึ้นเช่นกัน
ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 400 จุดเมื่อคืนนี้ ขณะที่นักลงทุนกังวลว่าการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนจะทำให้หลายประเทศต้องกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลที่ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดนอาจถูกคว่ำในวุฒิสภาสหรัฐ
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทฟื้นตัวขึ้นในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนได้รับรู้ปัจจัยข่าวเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน โดยดัชนีดาวโจนส์ทรุดตัวรวมเกือบ 1,000 จุดในช่วง 3 วันที่ผ่านมา
นักลงทุนจับตาประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งเตรียมแถลงต่อชาวอเมริกันในวันนี้เกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลในการสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 พร้อมกับขอความร่วมมือจากประชาชนในการเข้ารับการฉีดวัคซีน ท่ามกลางการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนในสหรัฐ
แหล่งข่าวระบุว่า ปธน.ไบเดนจะอนุมัติให้มีการแจกชุดตรวจโควิด-19 แบบ rapid test ฟรีจำนวน 500 ล้านชุดให้แก่ประชาชน เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.2565 และจะจัดส่งบุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพสหรัฐไปยังโรงพยาบาลที่กำลังเผชิญปัญหาในการรับมือกับผู้ป่วยจำนวนมากในช่วงฤดูหนาวนี้
ทั้งนี้ ปธน.ไบเดนจะย้ำเตือนชาวอเมริกันให้ตระหนักแต่อย่าตระหนกเกี่ยวกับความรุนแรงของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน และจะเรียกร้องให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต
อย่างไรก็ดี คาดว่าปธน.ไบเดนจะไม่ประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในรอบนี้
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐเปิดเผยว่า ขณะนี้โควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐแล้ว โดยคิดเป็นสัดส่วน 73% ของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมดในสหรัฐ ขณะที่สัดส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาลดลงเหลือเพียง 27% เท่านั้น
สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ติดเชื้อกว่า 52 ล้านราย และเสียชีวิตมากกว่า 828,000 ราย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า FDA เตรียมอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค และยาแพกซ์โลวิดของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ อย่างเร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้ (22 ธ.ค.) ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉิน
หาก FDA ให้การอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิดในวันพรุ่งนี้ตามคาด ก็จะเป็นการปลดล็อกให้มีการใช้ยาดังกล่าวทั่วโลก เนื่องจากหน่วยงานสาธารณสุขของหลายประเทศยังคงรอการรับรองจาก FDA ก่อนที่จะให้การอนุมัติการใช้ยาดังกล่าว
การอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิดในครั้งนี้มีขึ้น ขณะที่โลกกำลังเผชิญกับการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งได้แพร่ไปมากกว่า 90 ประเทศทั่วโลก
ไฟเซอร์ระบุว่า ยาแพกซ์โลวิดสามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% รวมทั้งมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
ผู้ที่จะรับประทานยาของไฟเซอร์จะต้องรับทั้งยาแพกซ์โลวิด พร้อมกับยาริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัส HIV โดยยา 1 คอร์สของไฟเซอร์ประกอบด้วยยาแพกซ์โลวิด 20 เม็ดและริโทนาเวียร์ 10 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาแพกซ์โลวิดขนาด 150 มิลลิกรัม 2 เม็ดต่อครั้ง คู่กับยาริโทนาเวียร์ 100 มิลลิกรัม 1 เม็ดต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน
ส่วนเมอร์คเปิดเผยว่า ยาโมลนูพิราเวียร์สามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ 30%
ยา 1 คอร์สของเมอร์คประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน