ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 เมื่อคืนนี้ (22 ธ.ค.) ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ ซึ่งรวมถึงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 3 นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากผลการวิจัยครั้งล่าสุดที่ระบุว่า ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น มีน้อยกว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,753.89 จุด เพิ่มขึ้น 261.19 จุด หรือ + 0.74%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,696.56 จุด เพิ่มขึ้น 47.33 จุด หรือ +1.02% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,521.89 จุด เพิ่มขึ้น 180.81 จุด หรือ +1.18%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากผลการศึกษาครั้งล่าสุดของสถาบันอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอนซึ่งระบุว่า ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนจะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น มีน้อยกว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาประมาณ 40% - 45% โดยรายงานดังกล่าวสอดคล้องกับผลวิจัยของสถาบันโรคติดต่อของแอฟริกาใต้ และสถาบันสาธารณสุขของสก็อตแลนด์
นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยตัวเลข GDP ไตรมาส 3/2564 ของสหรัฐขยายตัว 2.3% สูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่สองที่ระดับ 2.1% ขณะที่ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐปรับตัวขึ้น 1.9% สู่ระดับ 6.46 ล้านยูนิตในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สามติดต่อกัน
ทางด้าน Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจเปิดเผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 115.8 ในเดือนธ.ค. จากระดับ 111.9 ในเดือนพ.ย. โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 110.8
หุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวกทั้งหมด นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยพุ่งขึ้น 1.73% โดยหุ้นราล์ฟ ลอเรน ดีดขึ้น 0.29% หุ้นคาปรี โฮลดิ้งส์ ปรับตัวขึ้น 0.65% หุ้นบาธ แอนด์ บอดี้ เวิร์คส์ เพิ่มขึ้น 0.28%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.33% โดยหุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 2.05% ห้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 1.53% หุ้นแอมะซอน บวก 0.36% หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 1.81% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ เพิ่มขึ้น 1.54%
หุ้นไฟเซอร์ ปรับตัวขึ้น 1.04% หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติการใช้ยาแพกซ์โลวิดของบริษัทไฟเซอร์ ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉิน
หุ้นเทสลา ทะยานขึ้น 7.49% หลังจากนายอีลอน มัสก์ เปิดเผยว่าเขาได้ขายหุ้นเทสลาจนครบเป้าหมาย 10% แล้ว หลังจากที่เขาได้ตั้งโพลสอบถามความคิดเห็นกับผู้ติดตามในทวิตเตอร์ว่า เขาควรขายหุ้น 10% ในบริษัทเทสลาเพื่อนำเงินไปจ่ายภาษีหรือไม่ ซึ่งผลโหวตกว่า 3.5 ล้านเสียง หรือคิดเป็น 57.9% แนะนำให้เขาขายหุ้นเทสลาจำนวนดังกล่าว
หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พุ่งขึ้น 1.92% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทแบร์สเติร์นได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์สู่ระดับ "Outperform" เนื่องจากเชื่อมั่นว่าบริษัทแห่งนี้จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ย., ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นสุดท้ายเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน