ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพฤหัสบดี (23 ธ.ค.) โดยปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นทั่วโลกหลังผลวิจัยสองฉบับบ่งชี้ว่า ผลกระทบของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,373.34 จุด เพิ่มขึ้น 31.68 จุด หรือ +0.43%
ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวขึ้นเป็นวันที่สองติดต่อกัน นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งบวกขึ้น 1.0% หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหราชอาณาจักรปรับตัวขึ้น แต่ปอนด์ที่แข็งค่าขึ้นถ่วงหุ้นกลุ่มส่งออกที่มีรายได้เป็นสกุลเงินดอลลาร์ อาทิ บริติช อเมริกัน โทแบคโค ร่วงลง 1.9%
หุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการปรับตัวขึ้น หลังจากตลาดคลายความวิตกเกี่ยวกับไวรัสโอมิครอน โดยการเปิดเผยผลวิจัยสองฉบับจากแอฟริกาใต้และลอนดอนเมื่อวันพุธบ่งชี้ว่า ความเสี่ยงของการเข้าโรงพยาบาลที่เกิดจากไวรัสสายพันธุ์โอมิครอนนั้นน้อยกว่าที่เกิดจากการติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา
แต่หุ้นกลุ่มรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ ปรับตัวแย่กว่าหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในปีนี้ โดยมูลค่าหุ้นร่วงลงเกือบ 25% ด้านสมาคมผู้ผลิตและผู้ค้ารถยนต์ของอังกฤษ (SMMT) เปิดเผยว่า กำลังการผลิตรถยนต์ของอังกฤษในเดือนพ.ย. ร่วงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2527 แม้ว่าจะมีความต้องการรถยนต์แบตเตอรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นก็ตาม
SMMT เปิดเผยว่า กำลังการผลิตรถยนต์ของอังกฤษในเดือนพ.ย.ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยลดลง 28.7% สู่ระดับ 75,756 คัน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 37 ปี หลังผู้ผลิตรถยนต์เผชิญปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก
ด้านสมาพันธ์อุตสาหกรรมอังกฤษ (CBI) เปิดเผยในวันพฤหัสบดีว่า ธุรกิจต่าง ๆ ในอังกฤษรายงานการเติบโตที่ชะลอตัวมากที่สุดนับตั้งแต่มีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงต้นปีนี้ และคาดว่าจะชะลอตัวต่อไปจนถึงต้นปี 2565
ดัชนีบ่งชี้การเติบโตรายเดือนของ CBI ซึ่งรวมการสำรวจผลผลิตจากผู้ผลิต ผู้ค้าปลีก และบริษัทด้านบริการอื่น ๆ นั้น ลดลง 11 จุด สู่ระดับ +21 ในช่วง 3 เดือนจนถึงเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วง 3 เดือนที่นับถึงเดือนเม.ย.