ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันศุกร์ (7 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายหุ้นจากความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น รวมถึงยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้น และนักลงทุนยังไม่แน่ใจว่าข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอของสหรัฐจะกระทบแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หรือไม่
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 486.25 จุด ลดลง 1.91 จุด หรือ -0.39% และปรับตัวลง 0.3% ในรอบสัปดาห์นี้
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,219.48 จุด ลดลง 30.18 จุด หรือ -0.42% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,947.74 จุด ลดลง 104.29 จุด หรือ -0.65% ส่วนดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,485.28 จุด เพิ่มขึ้น 34.91 จุด หรือ +0.47%
หุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการ ร่วงลง 1.6% เนื่องจากประเทศต่าง ๆ เผชิญกับจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นซึ่งเกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน
ตลาดยังถูกกดดันจากข้อมูลที่บ่งชี้ว่า เงินเฟ้อของยูโรโซนพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนธ.ค. ซึ่งบ่งชี้แรงกดดันมากขึ้นให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงมากที่สุดในสัปดาห์นี้ โดยร่วงลงราว 4.5% หลังได้รับผลกระทบจากการคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลง หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานการประชุมเดือนธ.ค.บ่งชี้ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด
แต่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธนาคารของยุโรป โดยพุ่งขึ้น 6.7% ในสัปดาห์นี้
หุ้นดอยซ์ แบงก์ บวก 1.8% สู่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 6 เดือน หลังเปิดเผยว่า ธนาคารเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมายในปีนี้
หุ้นแอร์บัส ลบ 0.8% หลังรายงานว่ากาตาร์ แอร์เวย์เตรียมเรียกเงินชดเชยกว่า 600 ล้านดอลลาร์จากแอร์บัส เนื่องจากพบข้อบกพร่องของเครื่องบินรุ่น A350