ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (26 ม.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วขึ้น เพื่อสกัดเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครนอย่างใกล้ชิด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,168.09 จุด ลดลง 129.64 จุด หรือ -0.38%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,349.93 จุด ลดลง 6.52 จุด หรือ -0.15% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,542.12 จุด เพิ่มขึ้น 2.82 จุด หรือ +0.02%
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ พร้อมระบุว่าเฟดจะยังคงปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) จำนวน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. ซึ่งจะส่งผลให้การทำ QE ของเฟดสิ้นสุดลงในเดือนมี.ค. พร้อมกับการเริ่มต้นปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนดังกล่าวเช่นกัน
ทางด้านนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวภายหลังการประชุมว่า "ยังคงมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน และเฟดไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่าอาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เมื่อพิจารณาจากการพุ่งขึ้นของตัวเลขเงินเฟ้อในขณะนี้"
เอ็ดเวิร์ด โมยา นักวิเคราะห์จากบริษัท Oanda Corporation กล่าวว่า ในช่วงแรกนั้นตลาดหุ้นนิวยอร์กเคลื่อนไหวในแดนบวกเนื่องจากผลการประชุมเฟดออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ แต่หลังจากที่นักลงทุนได้ฟังการแถลงข่าวของนายพาวเวลแล้ว ตลาดก็ไหลลงสู่แดนลบทันที เนื่องจากคำแถลงดังกล่าวส่งสัญญาณชัดเจนว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วกว่าและรุนแรงมากกว่าที่ตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้"
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง 1.66% โดยหุ้นอาร์มาดา ฮอฟเฟอร์ พร็อพเพอร์ตีส์ ปรับตัวลง 1.39% หุ้นซีทีโอ เรียลตี้ โกร้ธ ร่วงลง 1.62% หุ้นฮัดสัน แปซิฟิก พร็อพเพอร์ตี้ส์ ปรับตัวลง 1.2%
หุ้นโบอิ้ง ทรุดตัวลง 4.82% หลังบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุน 7.69 ดอลลาร์/หุ้นในไตรมาส 4/2564 ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 42 เซนต์/หุ้น โดยได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษีวงเงิน 3.5 พันล้านดอลลาร์ของเครื่องบินรุ่น 787 Dreamliners นอกจากนี้ ปัญหาด้านการผลิตยังทำให้บริษัทต้องชะลอการส่งมอบเครื่องบินรุ่นดังกล่าว
หุ้น 3M ร่วงลง 2.56% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรสุทธิในไตรมาส 4/2564 ลดลงแตะ 1.34 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.31 ดอลลาร์/หุ้น เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2563 ที่ระดับ 1.41 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.41 ดอลลาร์ต่อหุ้น
หุ้นเฟซบุ๊ก (เมตา แพลทฟอร์มส์) ร่วงลง 1.84% หลังสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เฟซบุ๊กจะเลิกพัฒนาสกุลเงินคริปโทฯ "เดียม" (Diem) หรือชื่อเดิมว่าลิบรา (Libra) หลังประกาศเปิดตัวครั้งแรกเมื่อ 2 ปีก่อน โดยรายงานระบุว่า สมาคมเดียม (Diem Association) ที่เฟซบุ๊กจัดตั้งขึ้นเพื่อบริหารโทเคนดิจิทัลนั้น กำลังหาทางขายสินทรัพย์ออกไป หลังเผชิญแรงต่อต้านจากบรรดาหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งรวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ
หุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 1.35% ขายรับรายงานที่ว่า อินเทลประสบชัยชนะครั้งใหญ่ในการต่อสู้คดี หลังจากศาลยุโรปประกาศให้คำตัดสินของคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ที่สั่งปรับอินเทลก่อนหน้านี้ถือเป็นโมฆะ โดยคำวินิจฉัยระบุว่า "รายงานการวิเคราะห์ของ EC ยังไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถพิสูจน์ตามมาตรฐานทางกฎหมายว่าการให้ส่วนลดของอินเทลเป็นการขัดขวางการแข่งขันในตลาด"
หุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 2.85% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2 ของปีงบการเงิน 2565 เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ 5.173 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 5.088 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรสุทธิพุ่งขึ้น 21% แตะที่ 1.877 หมื่นล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 11.9% สู่ระดับ 811,000 ยูนิตในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 760,000 ยูนิต แต่เมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านใหม่ลดลง 14.0% ในเดือนธ.ค.
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ยูเครนอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดทำเนียบเครมลินออกแถลงการณ์เตือนว่า รัสเซียจะตอบโต้อย่างรวดเร็ว หากสหรัฐและพันธมิตรปฏิเสธข้อเรียกร้องของรัสเซีย นอกจากนี้ รัสเซียจะไม่ตัดทางเลือกในการเพิ่มกำลังทหารและยุทโธปกรณ์เข้าไปในคิวบาและเวเนซุเอลา หากข้อเรียกร้องของรัสเซียไม่ได้รับการตอบสนอง
ทั้งนี้ รัสเซียได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อสหรัฐและชาติตะวันตกเพื่อให้มีการรับประกันว่า องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) จะไม่รับยูเครนและประเทศซึ่งเคยอยู่ในอดีตสหภาพโซเวียตเข้าเป็นสมาชิก อีกทั้งเรียกร้องให้สหรัฐและพันธมิตรถอนกำลังทหารออกจากกลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต