ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเล็กน้อยในวันพฤหัสบดี (27 ม.ค.) ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวนตลอดทั้งวัน โดยตลาดได้รับแรงหนุนจากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐที่ขยายตัวได้ดีเกินคาดในไตรมาส 4/2564 แต่ขณะเดียวกันตลาดยังคงถูกกดดันจากความกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,160.78 จุด ลดลง 7.31 จุด หรือ -0.02%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,326.51 จุด ลดลง 23.42 จุด หรือ -0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,352.78 จุด ลดลง 189.34 จุด หรือ -1.40%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน โดยในช่วงแรกดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 500 จุด ขานรับตัวเลข GDP ไตรมาส 4 ของสหรัฐที่ขยายตัว 6.9% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.5% และเมื่อพิจารณาทั้งปี 2564 ตัวเลข GDP สหรัฐขยายตัว 5.7% ซึ่งเป็นตัวเลขสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2527
อย่างไรก็ดี ตลาดอ่อนแรงลงในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวว่า "ยังคงมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน และเฟดไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่าอาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เมื่อพิจารณาจากตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงมากในขณะนี้" โดยถ้อยแถลงดังกล่าวถือเป็นการส่งสัญญาณว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วกว่าและรุนแรงมากกว่าที่ตลาดวอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้
หุ้นอินเทล ร่วงลง 7.04% หลังบริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2565 ที่ระดับ 80 เซนต์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของ Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ 86 เซนต์
การเปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการที่ย่ำแย่ของอินเทลได้ฉุดดัชนีหุ้นกลุ่มผู้ผลิตชิปร่วงลง 4.8% และส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นบริษัทผลิตชิปรายอื่น ๆ ด้วย โดยหุ้นควอลคอม ร่วงลง 3.47% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ดิ่งลง 3.96% หุ้น NVIDIA ร่วงลง 3.64% หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) ร่วงลง 7.33%
หุ้นคอมแคสต์ สื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ ปรับตัวลง 0.93% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2564 ที่ระดับ 77 เซนต์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 73 เซนต์ แต่จำนวนลูกค้าอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพิ่มขึ้น 212,000 ราย ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 220,000 ราย
หุ้นแมคโดนัลด์ ปรับตัวลง 0.44% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 2.23 ดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.34 ดอลลาร์ โดยได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
หุ้นเทสลา ร่วงลง 11.55% โดยราคาหุ้นถูกกดดันจากการที่นายอีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาคาดการณ์ว่า เทสลาอาจจะเผชิญปัญหาชิปขาดแคลนต่อไปในปีนี้ และยังกล่าวด้วยว่าในปีนี้เทสลาอาจจะไม่มีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ ๆ เนื่องจากบริษัทยังคงขาดแคลนชิปในการผลิตรถยนต์ตามคำสั่งซื้อของลูกค้า
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 30,000 ราย สู่ระดับ 260,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 270,000 ราย
ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ร่วงลง 3.8% ในเดือนธ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 0.9% ในเดือนธ.ค. หลังจากพุ่งขึ้น 3.2% ในเดือนพ.ย. โดยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนธ.ค.ได้รับผลกระทบจากภาวะคอขวดของห่วงโซ่อุปทาน และการขาดแคลนแรงงาน