ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 ในวันพุธ (2 ก.พ.) ขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล และแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐ โดยตัวเลขกำไรและรายได้ที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนทั้งสองแห่งเป็นปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มผู้ผลิตชิปดีดตัวขึ้น และยังช่วยสกัดปัจจัยลบจากตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐที่ทรุดตัวลงในเดือนม.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 35,629.33 จุด เพิ่มขึ้น 224.09 จุด หรือ +0.63%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,589.38 จุด เพิ่มขึ้น 42.84 จุด หรือ +0.94% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,417.55 จุด เพิ่มขึ้น 71.54 จุด หรือ +0.50%
หุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 7.52% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2564 ที่ระดับ 30.69 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 27.34 ดอลลาร์ ขณะที่รายได้พุ่งขึ้น 32% แตะที่ 7.533 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 7.217 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นเอเอ็มดี พุ่งขึ้น 5.12% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2564 ที่ระดับ 92 เซนต์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 76 เซนต์ ส่วนรายได้พุ่งขึ้น 49% แตะที่ 4.83 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 4.53 พันล้านดอลลาร์
ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของอัลฟาเบทและเอเอ็มดีช่วยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและผู้ผลิตชิปพุ่งขึ้นด้วย โดยหุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 1.52% หุ้นเมตา แพลตส์ฟอร์ม (เฟซบุ๊ก) ดีดขึ้น 1.25% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 2.45% หุ้นไมครอน เทคโนโลยี ทะยานขึ้น 3.76% หุ้นอินเทล บวก 1.14% หุ้นควอลคอมม์ พุ่งขึ้น 6.25%
นอกจากนี้ ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของอัลฟาเบทและเอเอ็มดียังช่วยบดบังปัจจัยลบจากรายงานของออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) ซึ่งระบุว่า ตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐลดลง 301,000 ตำแหน่งในเดือนม.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง โดยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2563 เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
อย่างไรก็ดี หุ้นของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งร่วงลงหลังเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ โดยหุ้นสตาร์บัคส์ ร่วงลง 1.04% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2564 ที่ระดับ 72 เซนต์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 80 เซนต์เนื่องจากถูกกระทบจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
หุ้นเจเนอรัล มอเตอร์ (GM) ปรับตัวลง 0.83% หลังบริษัทเปิดเผยยอดขายรถยนต์ในไตรมาส 4/2564 ลดลงสู่ระดับ 3.36 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 3.75 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2563
หุ้นเพย์พาล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์รายใหญ่ของสหรัฐ ดิ่งลง 24.59% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4/2564 ที่ระดับ 1.11 ดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.12 ดอลลาร์ นอกจากนี้ บริษัทคาดว่ากำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1 ของปีนี้จะอยู่ที่ 87 เซนต์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.16 ดอลลาร์
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีร่วงลงสู่ระดับ 1.752% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 0.26% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 0.11% หุ้นเจพีมอร์แกน ปรับตัวลง 0.82% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ลดลง 0.5%
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยขณะนี้บริษัทมากกว่า 36% ในดัชนี S&P500 ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 4 แล้ว ซึ่งเกือบ 80% ในจำนวนดังกล่าวมีผลประกอบการสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนม.ค.ของสหรัฐจะเพิ่มขึ้นเพียง 178,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ระดับ 3.9%