ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี (24 ก.พ.) สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน โดยหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มรถยนต์ถูกเทขายออกมาอย่างหนัก หลังรัสเซียเปิดฉากบุกโจมตียูเครนอย่างเต็มรูปแบบ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 438.96 จุด ร่วงลง 14.90 จุด หรือ -3.28%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,521.05 จุด ร่วงลง 259.62 จุด หรือ -3.83%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,052.10 จุด ลดลง 579.26 จุด หรือ -3.96% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,207.01 จุด ลดลง 291.17 จุด หรือ -3.88%
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2564 โดยเข้าสู่ระยะปรับฐาน หลังดิ่งลง 10% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นฝรั่งเศสและเยอรมนีร่วงลงเกือบ 4% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรที่รุนแรงของชาติตะวันตกที่ใช้ตอบโต้รัสเซีย
บรรดานักลงทุนทั่วโลกได้เทขายหุ้น และเข้าซื้อทอง รวมถึงพันธบัตรรัฐบาล หลังเกิดการโจมตีทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐและผู้นำชาติตะวันตกอื่น ๆ ได้ให้คำมั่นที่จะดำเนินมาตรการคว่ำบาตรที่แข็งกร้าวเพื่อตอบโต้รัสเซีย
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลง 8.2% ซึ่งเป็นการร่วงลงรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ระบาด
หุ้นธนาคารที่ทำธุรกิจกับรัสเซียร่วงลงอย่างหนัก อาทิ หุ้นยูนิเครดิต และหุ้นโซซิเอเต เจเนอราล ดิ่งลง 12.2-23%
หุ้นไรอันแอร์ ร่วงลง 2.6% หลังต้องระงับเที่ยวบินไป-กลับยูเครนเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน เนื่องจากมีการปิดน่านฟ้ายูเครนไม่ให้เครื่องบินพลเรือนบินผ่าน
หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ลดลง 0.3% แม้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 6% โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะยานขึ้นทะลุ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลได้เป็นครั้งแรกนับตั้งเต่ปี 2557
แต่หุ้นกลุ่มพลังงานทดแทน อาทิ ออร์สเตด, เวสทัส วินด์ ซิสเทมส์ และอีดีพี เรโนวาวีส พุ่งขึ้นมากกว่า 10% เนื่องจากจะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทน ขณะที่ราคาก๊าซทะยานขึ้น