ตลาดหุ้นยุโรปปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันศุกร์ (25 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับการเจรจาทางการทูตระหว่างรัสเซียและยูเครน หลังทำเนียบประธานาธิบดีเปิดเผยว่า รัสเซียพร้อมส่งตัวแทนไปยังกรุงมินสก์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเบลารุส เพื่อเจรจากับตัวแทนของยูเครน
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 453.53 จุด พุ่งขึ้น 14.57 จุด หรือ +3.32%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,752.43 จุด พุ่งขึ้น 231.38 จุด หรือ +3.55%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,567.23 จุด พุ่งขึ้น 515.13 จุด หรือ +3.67% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,489.46 จุด พุ่งขึ้น 282.08 จุด หรือ +3.91%
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นมากกว่า 3% หลังร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดของเดือนพ.ค. 2564 เมื่อวันพฤหัสบดี โดยตลาดหุ้นฝรั่งเศสและเยอรมนีพุ่งขึ้นมากกว่า 3% ด้วยเช่นกัน ขณะที่ตลาดหุ้นอังกฤษพุ่งขึ้นเกือบ 4%
แต่ตลาดหุ้นยุโรปก็ยังคงติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยในสัปดาห์นี้ร่วงลง 1.6% และร่วงลงราว 8% จากระดับสูงสุดของเดือนม.ค.
หุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้น 4.3% แต่เตรียมรับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ของยุโรปต่อรัสเซีย ซึ่งอาจทำให้ธนาคารของรัสเซียไม่สามารถเข้าถึงตลาดการเงินของยุโรป
นอกจากนี้ แนวโน้มที่ธนาคารกลางต่าง ๆ จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนนั้น ได้ถ่วงหุ้นกลุ่มธนาคารลงด้วย
แรงซื้อหุ้นกลุ่มปลอดภัยช่วยหนุนตลาดด้วย โดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม, สาธารณูปโภค, เฮลท์แคร์ และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นกลุ่มที่ช่วยหนุนตลาดขึ้นมากที่สุด
หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดการณ์ว่า ความขัดแย้งของยูเครนอาจลดผลผลิตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนลง 0.3-0.4% ในปีนี้
ในบรรดาหุ้นรายตัวนั้น หุ้นปอร์เช่ เอสอี และหุ้นโฟล์คสวาเก้น พุ่งขึ้น 3.8% และ 5.2% ตามลำดับ หลังเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการนำหุ้นปอร์เช่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเยอรมนี