ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวลงในวันจันทร์ (7 มี.ค.) แต่ดีดตัวขึ้นพ้นจากระดับต่ำสุดของวัน โดยได้แรงหนุนจากการทะยานขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเหนือระดับ 130 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนทำให้ตลาดหุ้นเยอรมนีและอิตาลีเข้าสู่ภาวะซบเซาหรือภาวะหมี (bear market)
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 417.13 จุด ลดลง 4.65 จุด หรือ -1.10%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,982.27 จุด ลดลง 79.39 จุด หรือ -1.31%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,834.65 จุด ลดลง 259.89 จุด หรือ -1.98% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,959.48 จุด ลดลง 27.66 จุด หรือ -0.40%
ตลาดหุ้นเยอรมนีและตลาดหุ้นอิตาลีดิ่งลงมากกว่า 20% แล้วจากระดับปิดสูงเป็นประวัติการณ์ที่ทำไว้เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ซึ่งยืนยันว่าตลาดเข้าสู่ภาวะหมี
หุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มรถยนต์นำตลาดร่วงลง โดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารยูโรโซนร่วง 4.1% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือนก่อนธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประชุมกันในสัปดาห์นี้ ซึ่งตลาดจะจับตาดูว่า ECB จะรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากวิกฤตยูเครนอย่างไร
หุ้นธนาคารที่ดำเนินธุรกิจในรัสเซีย อาทิ ยูนิเครดิต และโซซิเอเต้ เจเนราล ร่วงลง 4.2-5.7%
อย่างไรก็ตาม หุ้นบีพีและหุ้นเชลล์ พุ่ง 3.8% และ 8% ตามลำดับ ตามราคาน้ำมันที่ทะยานขึ้น หลังสหรัฐและชาติตะวันตกพิจารณาห้ามการนำเข้าน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียเพื่อตอบโต้ที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน
โกลด์แมน แซคส์เปิดเผยว่า การใช้ก๊าซทั่วโลกมาจากรัสเซียราว 17% และในปี 2564 ยุโรปตะวันตกใช้ก๊าซ 40% จากรัสเซีย
หุ้นเทนาริส ซึ่งเป็นบริษัทผลิตท่อเหล็กของอิตาลี พุ่งขึ้น 13.0% หลังจากรัสเซียไม่สามารถส่งออกเหล็กสู่ตลาดยุโรป