ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงในวันพฤหัสบดี (10 มี.ค.) โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มน้ำมัน นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในสหรัฐและยูโรโซนซึ่งอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,099.09 จุด ลดลง 91.63 จุด หรือ -1.27%
หุ้นกลุ่มน้ำมัน อาทิ เชลล์และบีพี ถ่วงตลาดลง ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงิน อาทิ เอชเอสบีซี และพรูเดนเชียล กดดันตลาดด้วย
หุ้นเชลล์ ร่วง 2.4% หลังเปิดเผยว่าบริษัทจะปรับลดมูลค่าทางบัญชีสินทรัพย์ในรัสเซียลงอีก
ตลาดทั่วโลกถูกกดดันจากรายงานเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในสหรัฐ ซึ่งตอกย้ำโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ ECB ส่งสัญญาณเร่งปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้เศรษฐกิจเผชิญความเสี่ยงมากขึ้นจากวิกฤตในยูเครนก็ตาม
ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมในวันพฤหัสบดี (10 ม.ค.) ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในยูเครน
นอกจากนี้ ECB ยังส่งสัญญาณยุติการซื้อพันธบัตรในไตรมาส 3 ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ โดยจะปูทางสำหรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ หลังจากพุ่งขึ้น 5.8% ในเดือนก.พ. สูงกว่าเป้าหมายของ ECB ที่ระดับ 2%
ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานข่าวที่ว่า การเจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครนประสบความล้มเหลว
หุ้นกลุ่มธนาคารยังปรับตัวลง หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง
หุ้นริโอ ทินโต ร่วงลงถึง 4.7% หลังเป็นบริษัทเหมืองแร่รายใหญ่แห่งแรกที่ประกาศตัดความสัมพันธ์กับธุรกิจต่าง ๆ ในรัสเซีย
หุ้นเอฟราซ ร่วง 10.3% หลังจากบริษัทผลิตเหล็กของรัสเซียแห่งนี้ยกเลิกการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และอังกฤษสั่งคว่ำบาตรนายโรมัน อับราโมวิช ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเอฟราซ