ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (18 มี.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นอย่างมาก หลังจากที่การเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐและประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนเกี่ยวกับวิกฤตยูเครนนั้นได้สิ้นสุดลงโดยไม่มีเรื่องน่าประหลาดใจอย่างมากแต่อย่างใด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,754.93 จุด เพิ่มขึ้น 274.17 จุด หรือ +0.80%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,463.12 จุด เพิ่มขึ้น 51.45 จุด หรือ +1.17% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,893.84 จุด เพิ่มขึ้น 279.06 จุด หรือ +2.05%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีทั้ง 3 ตัวปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่ต้นเดือนพ.ย. 2563 โดยดัชนีดาวโจนส์ พุ่งขึ้น 5.5%, ดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น 6.2% และดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้น 8.2%
ราคาน้ำมันที่ลดลงได้ช่วยคลายความวิตกให้กับตลาด นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันพุธ (16 มี.ค.) รวมถึงแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ
ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ปธน.ไบเดนได้เตือนปธน.สีว่า จะมีผลกระทบตามมา หากจีนให้การสนับสนุนรัสเซียในการบุกโจมตียูเครน โดยทั้งสหรัฐและจีนได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ไขวิกฤตด้วยวิธีทางการทูต
ขณะที่ปธน.สีได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกนาโตจัดการเจรจากับรัสเซีย และไม่ได้ตำหนิที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวกในวันศุกร์ โดยกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปิดบวก 2.2% และกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร เพิ่มขึ้น 1.4% ขณะที่หุ้นลบเพียงกลุ่มเดียวได้แก่กลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งลดลง 0.9%
หุ้นโมเดอร์นา ปิดพุ่งขึ้น 6.3% หลังยื่นขอให้สำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอนุมัติใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เข็มที่ 4
หุ้นโบอิ้ง ปิดบวก 1.4% หลังมีรายงานว่า สายการบินเดลตา แอร์ไลน์ได้สั่งซื้อเครื่องบินรุ่น 737 MAX 10 ของโบอิ้งจำนวนมากถึง 100 ลำ
แต่หุ้นเฟดเอกซ์ คอร์ป ร่วงลงเกือบ 4% หลังรายงานผลประกอบการรายไตรมาสออกมาอ่อนแอกว่าคาด