ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 500 จุดในวันพฤหัสบดี (31 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งความกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,678.35 จุด ลดลง 550.46 จุด หรือ -1.56%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,530.41 จุด ลดลง 72.04 จุด หรือ -1.57% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,220.52 จุด ลดลง 221.76 จุด หรือ -1.54%
เมื่อพิจารณาตลอดเดือนมี.ค. ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 2.3%, ดัชนี S&P500 ปรับขึ้น 3.6% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 3.4% แต่เมื่อพิจารณาตลอดทั้งไตรมาส 1/2565 ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีดิ่งลงรุนแรงสุดในรอบ 2 ปี โดยดาวโจนส์ร่วงลง 4.6%, S&P500 ร่วงลง 4.9% และ Nasdaq ดิ่งลง 9.1%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งการที่ชาติตะวันตกประกาศคว่ำบาตรรัสเซียกรณีใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน ซึ่งส่งผลให้รัสเซียใช้มาตรการตอบโต้ โดยล่าสุดปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน ได้ลงนามในกฤษฎีกาซึ่งระบุว่า ต่างชาติที่ซื้อก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียจะต้องชำระเงินเป็นสกุลรูเบิลเท่านั้น โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. และสัญญาการซื้อก๊าซจะถูกระงับ หากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากความกังวลที่ว่า เฟดอาจจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ พุ่งขึ้น 5.4% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2526
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 2.99% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 1.64% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 4.14% หุ้นเวลส์ ฟาร์กโก ดิ่งลง 3.29%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 2.02% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 1.8% หุ้นแอปเปิล ลดลง 1.78% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 1.77% หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ร่วงลง 2.41%
หุ้นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ปรับตัวลง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของตลาดพีซี โดยหุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) ร่วงลง 8.29% หลังจากธนาคารบาร์เคลย์สปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเอเอ็มดีลงสู่ระดับ Equal Weight จากระดับ Overweight ขณะที่หุ้นเอชพี ร่วงลง 6.54% และหุ้นเดลล์ ดิ่งลง 7.60% หลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นทั้งสองบริษัทลงสู่ระดับ Equal Weight จากระดับ Overweight
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลง 7% อันเนื่องมาจากปธน.โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐประกาศระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ทั้งนี้ หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 1.09% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ดิ่งลง 1.42% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 1.69% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 1.60%
หุ้นวอลกรีนส์ บู้ทส์ อัลลิอันซ์ ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านขายยาขนาดใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 5.67% แม้บริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 1.59 ดอลลาร์ในช่วงเดือนธ.ค.-ก.พ. ซึ่งเป็นไตรมาส 2 ตามปีงบการเงินของบริษัท ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.40 ดอลลาร์/หุ้น
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.ของสหรัฐในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวดาวโจนส์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 460,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งน้อยกว่าในเดือนก.พ.ที่พุ่งขึ้น 678,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนมี.ค.จะลดลงสู่ระดับ 3.7%