ตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (1 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มธนาคาร ซึ่งได้ช่วยบดบังความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ขณะที่ตลาดยุโรปยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับภาวะชะงักงันในการนำเข้าก๊าซจากรัสเซีย
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 458.34 จุด เพิ่มขึ้น 2.48 จุด หรือ +0.54%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,684.31 จุด เพิ่มขึ้น 24.44 จุด หรือ +0.37%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,446.48 จุด เพิ่มขึ้น 31.73 จุด หรือ +0.22% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,537.90 จุด เพิ่มขึ้น 22.22 จุด หรือ +0.30%
ตลาดคลายความกังวลในขณะนี้ หลังจากรัสเซียเปิดเผยว่า จะไม่ยุติการส่งก๊าซจนกว่าจะใช้ระบบชำระเงินใหม่ในปลายเดือนเม.ย.นี้
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 1.2% โดยหุ้นซานทานเดร์ของสเปน พุ่งขึ้น 2.6% หลังย้ำเป้าหมายความสามารถในการทำกำไรในปี 2565
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มน้ำมันนำตลาดปรับตัวขึ้น โดยได้แรงหนุนจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นจากผลกระทบของสงครามในยูเครน
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ในยูเครนและการเจรจาสันติภาพรอบใหม่ที่เริ่มขึ้นอีกครั้งในวันศุกร์ รวมไปถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่าง ๆ และการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียน
อย่างไรก็ตาม ตลาดยังคงวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังข้อมูลบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของยูโรโซนพุ่งขึ้นสู่ระดับ 7.5% ในเดือนมี.ค.แตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนก.ค.นี้ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะแตะระดับราว 1.5% ภายในสิ้นปี 2566
นอกจากนี้ ตลาดได้ปรับตัวรับความเป็นไปได้ที่ ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.60% ภายในสิ้นปีนี้