ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงเกือบ 2% ในวันพุธ (6 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกของสหรัฐจะกระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการที่ชาติตะวันตกเพิ่มมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดเงินเฟ้อ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 455.97 จุด ลดลง 7.10 จุด หรือ -1.53%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,498.83 จุด ลดลง 146.68 จุด หรือ -2.21%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,151.69 จุด ลดลง 272.67 จุด หรือ -1.89% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,587.70 จุด ลดลง 26.02 จุด หรือ -0.34%
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงหนักสุดในรอบเกือบ 1 เดือน โดยหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลง ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเดินทางร่วงลงมากที่สุด
นางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟดกล่าวเมื่อวันอังคารว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นระบบ และเร่งปรับลดขนาดงบดุลจากระดับสูงเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนหน้า พร้อมกับกล่าวว่า ขณะนี้เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูงเกินไป และการชะลอเงินเฟ้อถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญอย่างมาก ซึ่งความเห็นของนางเบรนาร์ดกระตุ้นแรงเทขายหุ้นทั่วโลก
ความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามในยูเครนนั้นถ่วงตลาดลงด้วย ขณะที่สหรัฐประกาศคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ และสหภาพยุโรป (EU) เสนอที่จะห้ามการนำเข้าถ่านหินและน้ำมันจากรัสเซีย
ตลาดยังปรับตัวลง หลังการเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง โดยยอดสั่งซื้อในภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีร่วงลงมากเกินคาดในเดือนก.พ. หลังอุปสงค์จากต่างประเทศอ่อนแอลง
นอกจากนี้ ความวิตกเกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในฝรั่งเศสกดดันตลาดด้วย โดยตลาดหุ้นฝรั่งเศสร่วงลงถึง 2.2%
หุ้นรายตัวที่ปรับตัวลงได้แก่ หุ้นเวสทาส ซึ่งเป็นบริษัทผลิตกังหันลมของเดนมาร์กร่วงลง 3.2% หลังเปิดเผยว่าบริษัทจะถอนตัวออกจากรัสเซียซึ่งบริษัทมีโรงงานจำนวน 2 แห่ง
หุ้นซีเมนส์ กาเมซา ซึ่งเป็นบริษัทผลิตกังหันลมเช่นกัน ร่วงลง 6.2% หลังมีรายงานว่าชิ้นส่วนกังหันได้ตกลงในทะเลที่ทุ่งกังหันลมแห่งหนึ่งในเดนมาร์ก