ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 300 จุด ทะลุแนว 35,000 จุด โดยตลาดหุ้นวอลล์สตรีทดีดตัวขึ้นต่อเนื่องจากวานนี้
ณ เวลา 20.39 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 35,254.65 จุด บวก 343.45 จุด หรือ 0.98%
ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นเกือบ 500 จุดวานนี้ ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน รวมทั้งการแสดงความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตาและชิคาโกที่แนะนำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
ราคาหุ้นของบริษัทพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) พุ่งขึ้นเกือบ 3% ในการซื้อขายวันนี้ หลังบริษัทเปิดเผยกำไรและรายได้ในไตรมาสแรกสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะที่ราคาหุ้นบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ ดิ่งกว่า 8% หลังเปิดเผยผลประกอบการต่ำกว่าคาด
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทเทสลา อิงค์ ซึ่งจะมีการเปิดเผยหลังปิดตลาดวันนี้
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทยังได้รับปัจจัยหนุนจากการชะลอตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีในวันนี้ หลังจากพุ่งขึ้นวานนี้แตะระดับ 2.94% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปลายปี 2561 ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ทั้งนี้ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมทั้งในเดือนพ.ค.และมิ.ย.
หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ค.ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นครั้งแรกที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% นับตั้งแต่ปี 2543
นักลงทุนจับตารายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ของเฟดที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งจะบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด