ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดดิ่งลงกว่า 300 จุด ท่ามกลางความกังวลว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะได้รับผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ณ เวลา 20.52 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 34,477.91 จุด ลบ 314.85 จุด หรือ 0.9%
อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์มีแนวโน้มดีดตัวขึ้นในสัปดาห์นี้ หลังจากร่วงลงติดต่อกัน 3 สัปดาห์ โดยดาวโจนส์พุ่งขึ้น 1% นับตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้ ขณะที่ดัชนี S&P 500 บวก 0.1% หลังจากร่วงลงติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ส่วนดัชนี Nasdaq ดิ่งลง 1.3% และมีแนวโน้มปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 3
การซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในวันนี้ถูกกดดันจากภาวะ inverted yield curve ในตลาดพันธบัตรสหรัฐ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นดีดตัวเหนือพันธบัตรระยะยาว ซึ่งเป็นการบ่งชี้ถึงแนวโน้มการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 5 ปีพุ่งทะลุ 3% ในวันนี้ หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนพ.ค.
ที่ผ่านมา ภาวะ inverted yield curve มักเกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนพากันเทขายพันธบัตรระยะสั้น และเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาว ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยนักลงทุนวิตกว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะได้รับผลกระทบจากการที่เฟดยังคงเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ก่อนหน้านี้ เหตุการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 5 ปีพุ่งขึ้นสูงกว่าพันธบัตรอายุ 30 ปีได้เกิดขึ้นในปี 2549 ก่อนที่จะเกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกในเวลาเพียงไม่กี่ปีถัดมา
ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมทั้งในเดือนพ.ค.และมิ.ย.
หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ค.ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นครั้งแรกที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% นับตั้งแต่ปี 2543