ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงในวันศุกร์ (22 เม.ย.) ที่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือน โดยถูกกดดันจากปัจจัยลบต่าง ๆ อาทิ การล็อกดาวน์เพื่อคุมโรคโควิด-19 ในจีน และความวิตกเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายหุ้นทั่วโลก
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 453.31 จุด ร่วงลง 8.26 จุด หรือ -1.79% ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,581.42 จุด ร่วงลง 133.68 จุด หรือ -1.99%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,142.09 จุด ร่วงลง 360.32 จุด หรือ -2.48% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,521.68 จุด ร่วงลง 106.27 จุด หรือ -1.39%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงลง 3.6% อาทิ หุ้นเกล็นคอร์ และริโอ ทินโต หลังจากราคาโลหะได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในจีน
นอกจากนี้ การเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน และการเปิดเผยยอดค้าปลีกที่ต่ำกว่าคาดในเดือนมี.ค.ได้ส่งผลกดดันหุ้นค้าปลีก ร่วงลง 3.7%
ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในสหรัฐ, อังกฤษและยูโรโซนเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อนั้น จะถ่วงการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก
นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (21 เม.ย.) ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 3-4 พ.ค.นี้
นอกจากนี้ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีในวันศุกร์ว่า ECB มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนสิ้นปีนี้
นักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบสุดท้ายในวันอาทิตย์ที่ 24 เม.ย.นี้ ซึ่งประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงมีโอกาสชนะนางมารีน เลอเปน ผู้นำพรรคการเมืองขวาจัดของฝรั่งเศส
การเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทจดทะเบียนถ่วงตลาดลงด้วย โดยหุ้นเคอริงของฝรั่งเศส ร่วง 4.3% หลังเปิดเผยยอดขายลดลง โดยได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในจีน
หุ้นเอ็สอาเพของเยอรมนี ร่วง 2.0% หลังรายได้ถูกกระทบ 300 ล้านยูโร (325.26 ล้านดอลลาร์) จากการถอนธุรกิจออกจากรัสเซีย