ตลาดหุ้นลอนดอนปิดร่วงลงในวันศุกร์ (22 เม.ย.) โดยถูกกดดันจากแนวโน้มการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการเปิดเผยข้อมูลยอดค้าปลีกของอังกฤษที่ร่วงลงอย่างรุนแรง ทำให้นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,521.68 จุด ร่วงลง 106.27 จุด หรือ -1.39% และปรับตัวลงมากกว่า 1% ในรอบสัปดาห์นี้
หุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงลง 2.5% หลังจากการเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ว่า ยอดค้าปลีกของอังกฤษร่วงลงมากเกินคาดในเดือนมี.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนเม.ย. โดยได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยข้อมูลในวันศุกร์ (22 เม.ย.) บ่งชี้ว่า ยอดค้าปลีกของอังกฤษปรับตัวลงอย่างหนักในเดือนมี.ค. เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ส่งผลให้ยอดการชอปปิงออนไลน์ลดลง ขณะเดียวกัน ยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์ลดลง เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลพุ่งสูงขึ้น
ทั้งนี้ ยอดค้าปลีกเดือนมี.ค.ปรับตัวลง 1.4% เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่กลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ในผลสำรวจของหนังสือพิมพ์เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัลคาดการณ์ไว้ว่า ยอดค้าปลีกจะลดลง 0.2%
นอกจากนี้ เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคผลิตและบริการขั้นต้นเดือนเม.ย. ของสหราชอาณาจักร อยู่ที่ระดับ 57.6 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน ลดลงจากระดับ 60.9 เมื่อเดือนมี.ค.
หุ้นกลุ่มธนาคาร, กลุ่มประกันชีวิต และกลุ่มเหมืองแร่ ร่วงลง 2.2-3.0%
นายแอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (21 เม.ย.) ว่า BoE จะต้องพิจารณาทางเลือกในการดำเนินนโยบายระหว่างการรับมือกับเงินเฟ้อ และการหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ตลาดยังถูกกดดัน หลังจากที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนหน้า