ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงในวันจันทร์ (25 เม.ย.) โดยหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลงอย่างหนัก ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 445.11 จุด ลดลง 8.20 จุด หรือ -1.81%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,449.38 จุด ลดลง 132.04 จุด หรือ -2.01%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,924.17 จุด ลดลง 217.92 จุด หรือ -1.54% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,380.54 จุด ลดลง 141.14 จุด หรือ -1.88%
ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค. ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อพันธบัตรซึ่งเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย
หุ้นที่พึ่งพารายได้จากจีน อาทิ กลุ่มเหมืองแร่, น้ำมันและก๊าซ รวมถึงสินค้าหรูหราปรับตัวลงมากที่สุด เนื่องจากมีความวิตกมากขึ้นว่าอาจจะมีการล็อกดาวน์กรุงปักกิ่งเหมือนกับเซี่ยงไฮ้
หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ร่วงลง 6% โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงหนักสุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากราคาโลหะอุตสาหกรรมร่วงลงจากความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลงจากจีนซึ่งเป็นผู้ใช้โลหะรายใหญ่ ขณะที่หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซร่วงลง 4.8%
หุ้นเอชเอสบีซี และสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ซึ่งมีความอ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนของจีน ร่วงลง 4.1% และ 3.5% ตามลำดับ และหุ้นกลุ่มธนาคาร ร่วงลง 3%
ดัชนีความผันผวนของตลาดหุ้นยุโรปพุ่งขึ้นเหนือระดับ 30 จุดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 สัปดาห์
ตลาดหุ้นฝรั่งเศสร่วงลง แม้ผลการเลือกตั้งบ่งชี้ว่าประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสเป็นสมัยที่ 2 ก็ตาม
การเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอกดดันหุ้นรายตัว อาทิ หุ้นฟิลิปส์ของเนเธอร์แลนด์ ร่วงลง 11.3% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2559 หลังรายงานผลกำไรไตรมาสแรกลดลง