ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันอังคาร (26 เม.ย.) โดยติดลบเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงตามหุ้นกลุ่มเดียวกันของสหรัฐก่อนการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทรายใหญ่ แต่ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวขึ้นสวนทางตลาดโดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 441.1 จุด ลดลง 4.01 จุด หรือ -0.90%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,414.57 จุด ลดลง 34.81 จุด หรือ -0.54%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,756.40 จุด ลดลง 167.77 จุด หรือ -1.20% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,386.19 จุด เพิ่มขึ้น 5.65 จุด หรือ +0.08%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลง 2.3% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ และกลุ่มธนาคาร ร่วง 2.3%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นในช่วงเช้า โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทต่าง ๆ อาทิ ธนาคารยูบีเอส และบริษัทเมอส์กซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเดินเรือ
แต่ตลาดถูกกดดันจากการที่ดัชนี Nasdaq ร่วงลงมากกว่า 2% โดยหุ้นอัลฟาเบทและหุ้นไมโครซอฟท์ร่วงลงมากกว่า 2% ก่อนการเปิดเผยผลประกอบการหลังจากปิดตลาดหุ้นนิวยอร์ก
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ช่วยพยุงตลาด โดยปรับตัวขึ้น 1.1% หลังราคาโลหะเงินฟื้นตัวจากการร่วงลง 6% เมื่อวันจันทร์ (25 เม.ย.) และหุ้นกลุ่มพลังงาน บวก 0.9%
สำหรับหุ้นรายตัวที่ปรับตัวลง รวมถึงหุ้นเอชเอสบีซีซึ่งร่วงลง 5.5% หลังเตือนว่าการซื้อคืนหุ้นเพิ่มขึ้นนั้น อาจจะไม่เกิดขึ้นในปีนี้
ส่วนหุ้นธนาคารซานตานเดร์ของสเปน พุ่งขึ้น 6.2% หลังเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่ดีเกินคาด ขณะที่เครดิต สวิส, บาร์เคลยส์ และดอยซ์ แบงก์ จะเปิดเผยผลประกอบการในอีกไม่กี่วันนี้
บรรดานักลงทุนจะจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า รวมถึงความเห็นจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยมาร์ตินส์ คาแซคส์ กรรมการ ECB เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว ๆ นี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้
ทั้งนี้ ตลาดการเงินปรับตัวรับโอกาสที่ ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.80% ภายในสิ้นปีนี้