ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพุธ (27 เม.ย.) โดยฟื้นตัวขึ้นหลังจากปรับตัวลง 3 วันติดต่อกัน ขณะที่หุ้นกลุ่มวัสดุพื้นฐานพุ่งขึ้น 4.5% แต่การที่บริษัทก๊าซพรอมของรัสเซียหยุดส่งก๊าซให้กับบัลแกเรียและโปแลนด์ และการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเยอรมนีที่ร่วงลงนั้น ยังคงส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขาย
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 444.31 จุด เพิ่มขึ้น 3.21 จุด หรือ +0.73%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,445.26 จุด เพิ่มขึ้น 30.69 จุด หรือ +0.48%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,793.94 จุด เพิ่มขึ้น 37.54 จุด หรือ +0.27% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,425.61 จุด เพิ่มขึ้น 39.42 จุด หรือ +0.53%
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้น หลังร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ในช่วงเปิดตลาด โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มน้ำมันปรับตัวขึ้นต่อเป็นวันที่ 2 โดยกลุ่มเหมืองแร่ฟื้นตัวขึ้นเกือบทั้งหมดหลังจากร่วงลง 6% เมื่อวันจันทร์
ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวขึ้นในช่วงท้ายตลาด แต่ก็ยังถูกกดดันจากการที่หุ้นดอยซ์ แบงก์ ร่วงลง 5.6% หลังเตือนว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนอาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการทั้งปีของธนาคาร และผลสำรวจที่บ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีจะลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพ.ค. เนื่องจากความขัดแย้งในยูเครนทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น และทำลายความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวหลังโรคระบาดสิ้นสุดลง
ส่วนการเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสช่วยหนุนหุ้นเมอร์ซีเดส-เบนซ์ และหุ้นเฮลโลเฟรช ขณะที่หุ้นเอวีวาซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ร่วงลง 15.9% หลังเปิดเผยว่ามาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับวิกฤตขาดแคลนพลังงาน หลังก๊าซพรอมยุติการส่งก๊าซให้กับบัลแกเรียและโปแลนด์ เนื่องจากสองประเทศไม่สามารถจ่ายค่าก๊าซเป็นสกุลเงินรูเบิล ซึ่งนับเป็นมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงที่สุดของรัสเซียต่อมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกหลังบุกโจมตียูเครน
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงราว 3% ในเดือนเม.ย. เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง, ภาวะเงินเฟ้อ, สงครามในยูเครน และแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางรายใหญ่นั้น จะลดความต้องการเสี่ยงของนักลงทุน