ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันศุกร์ (6 พ.ค.) และปรับตัวลงในรอบสัปดาห์นี้รุนแรงที่สุดในรอบ 2 เดือน เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มค้าปลีกเผชิญกับแรงเทขาย ท่ามกลางแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 429.91 จุด ลดลง 8.35 จุด หรือ -1.91%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,258.36 จุด ลดลง 110.04 จุด หรือ -1.73%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,674.29 จุด ลดลง 228.23 จุด หรือ -1.64% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,387.94 จุด ลดลง 115.33 จุด หรือ -1.54%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลง 2% และกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 2.4%
ดัชนีหุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ ซึ่งบ่งชี้ถึงผลกระทบจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น, สงครามในยูเครน และการล็อกดาวน์รอบใหม่ในจีน
หุ้นอาดิดาส ร่วง 3.6% หลังปรับลดคาดการณ์ยอดขายในปีนี้ เนื่องจากการล็อกดาวน์รอบใหม่ของจีนส่งผลกระทบกับยอดขาย
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงตามหุ้นสหรัฐซึ่งถูกกดดันจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐปรับตัวขึ้น
ข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐได้เพิ่มความวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น
นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ และอาจปรับขึ้นอย่างเร็วที่สุดในเดือนก.ค. หลังการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของยูโรโซนที่สูงเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ปรับตัวขึ้น 0.5% สวนทางตลาด หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากสหภาพยุโรปเตรียมคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย