ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าปรับตัวขึ้นจากแรงซื้อหุ้นคืน หลังตลาดร่วงลงก่อนหน้านี้เนื่องจากนักลงทุนซึมซับข้อมูลเศรษฐกิจจีนและสหรัฐที่อ่อนแอ ทำให้ตลาดกังวลถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกว่า อาจเปราะบางกว่าที่คาดไว้
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 26,601.03 จุด เพิ่มขึ้น 53.98 จุด หรือ +0.20%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 20,395.66 จุด เพิ่มขึ้น 445.45 จุด หรือ +2.23% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,082.66 จุด เพิ่มขึ้น 8.91 จุด หรือ +0.29%
ทั้งนี้ ทางการจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอเมื่อวานนี้ (16 พ.ค.) เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ได้ส่งผลกระทบต่อการอุปโภคบริโภค, การผลิต และตลาดแรงงาน โดยข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจจีนอาจจะหดตัวลงในไตรมาส 2 ปีนี้
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.ร่วงลง 11.1% ในเดือนเม.ย. ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 6.1% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.ลดลง 2.9% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4%
ส่วนอัตราว่างงานของจีนในเดือนเม.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับ 6.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ. 2563 จากระดับ 5.8% ในเดือนมี.ค. และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 6.8% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 7%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐนั้น ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ร่วงลงแตะระดับ -11.6 ในเดือนพ.ค. จากระดับ 24.6 ในเดือนเม.ย. โดยดัชนีที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 0 บ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก
ส่วนเมื่อเช้านี้ ธนาคารออสเตรเลีย แอนด์ นิวซีแลนด์ แบงกิง กรุ๊ป (ANZ) เผยผลสำรวจระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคออสเตรเลียร่วงลง 1.3% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่การคาดการณ์เงินเฟ้อรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 0.2% สู่ระดับ 5.3%
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคออสเตรเลียร่วงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2563 ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น