ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 1,100 จุดในวันพุธ (18 พ.ค.) ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2563 เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐเริ่มส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทค้าปลีก นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่า เฟดไม่ลังเลที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเท่าที่จำเป็นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 31,490.07 จุด ร่วงลง 1,164.52 จุด หรือ -3.57%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,923.68 จุด ลดลง 165.17 จุด หรือ -4.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,418.15 จุด ลดลง 566.37 จุด หรือ -4.73%
ทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2565 ลดลงสู่ระดับ 2.19 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.07 ดอลลาร์ เนื่องจากผลกระทบของปัญหาห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าขนส่งที่สูงขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังต้องปรับลดราคาสินค้าเพื่อให้สามารถแข่งขันกับบรรดาคู่แข่งในตลาดได้
การเปิดเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่ของทาร์เก็ตมีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากวอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่ที่สุดในโลกเปิดเผยกำไรต่อหุ้นที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 1 อันเนื่องมาจากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อเช่นกัน
พอล คริสโตเฟอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทเวลส์ ฟาร์โก อินเวสต์เมนท์กล่าวว่า นักลงทุนเทขายหุ้นเนื่องจากกังวลว่าธุรกิจค้าปลีกเริ่มได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแซงหน้าค่าจ้าง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทค้าปลีกสะท้อนให้เห็นว่า เงินเฟ้อกำลังส่งผลกระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภค
หุ้นทาร์เก็ตปิดตลาดร่วงลง 24.93% ส่งผลให้ทาร์เก็ตสูญเสียมูลค่าตลาดราว 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหุ้นสหรัฐได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แบล็คมันเดย์เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2530
หุ้นบริษัทค้าปลีกรายอื่น ๆ ร่วงลงหลังทาร์เก็ตเปิดเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่ โดยหุ้นโฮมดีโปท์ ร่วงลง 5.24% หุ้นเบสท์ บาย ดิ่งลง 10.52% หุ้นวอลมาร์ท ร่วงลง 6.79% หุ้นเมซีส์ ร่วงลง 10.70% หุ้นดอลลาร์ ทรี ทรุดตัวลง 14.42%
หุ้นโลว์ส (Lowe's) ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 5.15% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 2.366 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.376 หมื่นล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังถูกกดดันจากการที่นายพาวเวลยืนยันว่า เฟดจะไม่ลังเลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเท่าที่จำเป็น เพื่อควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้พุ่งขึ้นรุนแรงจนสร้างความเสียหายต่อรากฐานเศรษฐกิจ
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยร่วงลง โดยหุ้นแอปเปิล ร่วงลง 5.64% หุ้นแอมะซอน ดิ่งลง 7.16% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 4.55% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 7.02% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 3.93%