ตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี (19 พ.ค.) โดยปรับตัวลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐได้ตอกย้ำผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 427.99 จุด ลดลง 5.96 จุด หรือ -1.37%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,302.74 จุด ลดลง 135.35 จุด หรือ -1.82%, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,272.71 จุด ลดลง 80.23 จุด หรือ -1.26% และดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,882.30 จุด ลดลง 125.46 จุด หรือ -0.90%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกของยุโรปร่วงลงเกือบ 2% และถ่วงตลาดลงมากที่สุด นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอื่น ๆ ปรับตัวลงด้วย
บริษัททาร์เก็ต คอร์ปของสหรัฐเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสลดลงครึ่งหนึ่ง และบริษัทวอลมาร์ทปรับลดคาดการณ์ผลกำไร เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น
หุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ เทสโก้ และเซนสเบอรี เตือนเกี่ยวกับผลกำไรทั้งปีนี้ด้วย เนื่องจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หุ้นเนสท์เล่, เทสโก้, ดิอาจีโอ และยูนิลีเวอร์ ร่วงลง 4.5-5.5%
นักลงทุนได้ขายหุ้นเพื่อเข้าซื้อพันธบัตรซึ่งเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางต่าง ๆ และความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามยูเครน
นอกจากนี้ มาตรการควบคุมโควิด-19 ของจีน ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยด้วย ซึ่งถ่วงดัชนี STOXX 600 ลง 12% แล้วในปีนี้
การเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียนถ่วงหุ้นรายตัวร่วงลง โดยหุ้นรอยัล เมลของอังกฤษ ร่วง 12.4% หลังเปิดเผยผลกำไรปี 2564-2565 ต่ำกว่าคาด