ตลาดหุ้นเอเชียปิดภาคเช้าลดลง เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจากปัจจัยลบหลายด้าน ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐเปิดเผยรายงานการประชุมเดือนพ.ค. โดยระบุว่า กรรมการเฟดมีความพร้อมที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ในการประชุมเดือนมิ.ย.และเดือนก.ค. เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากเงินเฟ้อ
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 26,685.71 จุด เพิ่มขึ้น 7.91 จุด หรือ +0.03%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ 20,145.80 จุด ลดลง 25.47 จุด หรือ -0.13% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,127.81 จุด เพิ่มขึ้น 20.34 จุด หรือ +0.65%
ตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวลงสวนทางกับตลาดหุ้นสหรัฐ หลังจากที่เฟดเปิดเผยรายงานการประชุมเมื่อคืนวานนี้ โดยกรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นว่าต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมิ.ย.และเดือนก.ค.เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ และมีความเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้เฟดสามารถใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินได้โดยไม่ทำให้เศรษฐกิจถดถอย
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านตลาดแรงงานที่ตึงตัว, ปัญหาด้านซัพพลายเชนทั่วโลก, สงครามในยูเครน และมาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดโควิด-19 ในจีน ยังเพิ่มความเสี่ยงให้ภาวะเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น
ความกังวลดังกล่าวส่งผลให้ดัชนี MSCI ตลาดหุ้นเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น ลดลง 0.54% หลังจากที่เปิดในแดนบวกเมื่อเช้านี้
ขณะที่หุ้นบลูชิปของจีนนั้น ร่วงลง 1.11% แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันในจีนจะลดลงแล้วก็ตาม เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ที่ยังคงใช้อยู่ส่งผลกระทบต่อมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจที่จีนประกาศไปเมื่อเร็ว ๆ นี้
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นจีนยังถูกกดันหลังจากที่นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนกล่าวในการประชุมฉุกเฉินในวันนี้ว่า เศรษฐกิจของจีนในบางด้านอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่กว่าในปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่โรคโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาด พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเพิ่มความพยายามในการลดอัตราการว่างงานที่พุ่งขึ้นในขณะนี้
สำหรับความเคลื่อนไหวที่สำคัญในภูมิภาค ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.75% ในการประชุมวันนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยสองเดือนติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 15 ปี เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นในขณะนี้ โดยเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ธนาคารกลางเกาหลีใต้ลงมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.5%