ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (26 พ.ค.) โดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกนำตลาดปรับตัวขึ้น หลังจากอังกฤษเปิดเผยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ และตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงยืนยันที่จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดไว้
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 437.71 จุด เพิ่มขึ้น 3.40 จุด หรือ +0.78%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,410.58 จุด เพิ่มขึ้น 111.94 จุด หรือ +1.78%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,231.29 จุด เพิ่มขึ้น 223.36 จุด หรือ +1.59% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,564.92 จุด เพิ่มขึ้น 42.17 จุด หรือ +0.56%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีกนำตลาดพุ่งขึ้น 4.7%
หุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ หุ้นโอคาโด, มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์, เน็กซ์ และแอสโซซิเอเต็ด บริติช ฟู้ดส์ ทะยานขึ้น 4.4-11.5% จากความหวังว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่วงเงิน 1.5 หมื่นล้านปอนด์ (1.9 หมื่นล้านดอลลาร์) ในการสนับสนุนภาคครัวเรือนนั้น จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายต่อไป ขณะที่เผชิญกับรายจ่ายด้านพลังงานที่สูงขึ้น
หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นหลุยส์วิตตอง พุ่ง 3.7%
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการซื้อขายยังคงซบเซา เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่เกิดจากการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลาง
รายงานการประชุมของเฟดเมื่อวันพุธ (25 พ.ค.) บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ในการประชุม 2 ครั้งถัดไปเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ ขณะที่คาดว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค.
นักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี STOXX 600 จะยังคงปิดตลาดเดือนนี้ติดลบ เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับผลกระทบด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย, สงครามรัสเซีย-ยูเครน และการควบคุมโรคโควิด-19 ของจีน
ผลสำรวจของรอยเตอร์บ่งชี้ว่า กลุ่มผู้จัดการกองทุนคาดว่า ดัชนี STOXX 600 จะแตะระดับ 450 จุดภายในสิ้นปีนี้ หรือราว 3.5% จากระดับปัจจุบัน