ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันศุกร์ (27 พ.ค.) และปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบสัปดาห์นี้นับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค. โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ และความกังวลที่ลดลงเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 443.93 จุด เพิ่มขึ้น 6.22 จุด หรือ +1.42% โดยบวกขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 3 และปรับตัวขึ้น 3% ในรอบสัปดาห์นี้
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,515.75 จุด เพิ่มขึ้น 105.17 จุด หรือ +1.64%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 14,462.19 จุด เพิ่มขึ้น 230.90 จุด หรือ +1.62% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,585.46 จุด เพิ่มขึ้น 20.54 จุด หรือ +0.27%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งพุ่งขึ้น 3.3% ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมและสินค้าหรูหราหนุนตลาดขึ้นด้วย
การทะยานขึ้นของตลาดหุ้นนิวยอร์กหลังการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทค้าปลีกและเทคโนโลยี รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลการใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐที่สดใสในเดือนเม.ย. ได้ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจยังบ่งชี้ว่า เงินเฟ้อในสหรัฐชะลอตัวลงในเดือนเม.ย.
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนเม.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.7% หลังจากพุ่งขึ้น 1.4% ในเดือนมี.ค.
หุ้นกลุ่มธนาคาร พุ่งขึ้นในสัปดาห์นี้ โดยบวก 6% เนื่องจากธนาคารกลางรายใหญ่ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่า เฟดอาจยุติการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% ในการประชุม 2 ครั้งหน้า
ส่วนหุ้นรายตัวที่ร่วงลงสวนทางตลาดนั้นรวมถึงหุ้นแอลเอสแอล พร็อพเพอร์ตี เซอรวิเซส ซึ่งร่วงลง 4.2% หลังเปิดเผยว่า เงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรต่อปีของบริษัท